Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ Baa1 และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 8, 2022 09:41 —กระทรวงการคลัง

ฉบับที่ 58 /2565                                                                                                                    วันที่  8 เมษายน 2565

Moody?s คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ Baa1
และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)


นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่                     7 เมษายน 2565 บริษัท Moody?s Investors Service (Moody?s) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
          1. ประเทศไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลง           ทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้ ซึ่ง Moody?s คาดว่า ในระยะยาว                       การดำเนินการภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จะสนับสนุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
          นอกจากนี้ Moody?s คาดว่า ในระยะ 2 ? 3 ปีข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น             จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ
2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับ           กลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa Peers) โดย Moody?s คาดว่า ช่วง 2 ? 3 ปีข้างหน้ารัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง                                 โดยหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ปี 2565 ? 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 52 - 54 ของ GDP ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวส่งผลทำให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง
นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมากประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
3. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าปี 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อยเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนการขนส่ง          ที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะกลับมาเกินดุลในปี 2566
4. สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Moody?s ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การเพิ่มระดับการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิต (Productivity Growth) อย่างยั่งยืน ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากปัญหาช่องว่างทางทักษะของแรงงานและโครงสร้างประชากรจากสังคมผู้สูงอายุได้ และการดำเนินการภายใต้ EEC ดีกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่ปัจจัยสำคัญซึ่งอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ คือ ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกินกว่าที่ Moody?s คาดการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ
5.  นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนได้จากล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ในปี 2565 และขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2566 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2 - 3 เดือนสุดท้ายของปี 2564 และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่อยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล ซึ่งมาตรการของรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น เราไม่ทิ้งกัน เราชนะ การเพิ่มกำลังซื้อผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่ง เป็นต้น ช่วยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี และมีส่วนทำให้สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ สะท้อนจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในปี 2563 มีค่าอยู่ที่ 0.35 มิได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน COVID-19 และลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา สำหรับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นสุด          ไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 90.1 ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของ GDP ที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงในอนาคต นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์               (ร้อยละ 34.5) เพื่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 18.1) และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน (ร้อยละ 12.4) ในขณะที่หนี้ครัวเรือน                       เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ร้อยละ 27.8 ดังนั้น หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จึงเป็นหนี้             ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป








สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505



          ที่มา: กระทรวงการคลัง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ