รายงานภาวะเศรษฐกิจรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 23-27 กุมภาพันธ์ 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 2, 2009 11:43 —กระทรวงการคลัง

Economic Indicators: This Week

อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงใน Q4/2551 หดตัวร้อยละ -4.3 ต่อปี สอดคล้องที่คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวที่ร้อยละ -4.0 ต่อปี โดยในด้านอุปทานพบว่า ภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงร้อยละ -6.8 ต่อปี เป็นผลกระทบทางลบจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงและเร็วกว่าที่คาด ในขณะที่ภาคค้าส่งค้าปลีกหดตัวร้อยละ -3.0 ต่อปี ซึ่งได้รับผลกระทบทางลบจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่หดตัว ส่วนภาคขนส่ง และภาคโรงแรมภัตาคาร หดตัวร้อยละ -10.6 และ -8.3 ต่อปีตามลำดับ เนื่องจากได้รับผลกระทบทางลบจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่วนในด้านอุปสงค์นั้น เกิดการหดตัวลงอย่างมากของปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการถึงร้อยละ -8.6 ต่อปี

หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 51 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,471.34 พันล้านบาทหรือร้อยละ 38.1 ของ GDP เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจำนวน 49.4 พันล้านบาท โดยมีวาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันจำนวน 24.0 พันล้านบาท ตามการเบิกจ่ายเงินกู้ระยะสั้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจำนวน 24.7 พันล้านบาท ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินและหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 19.1 และ 7.3 พันล้านบาท ตามลำดับ สำหรับหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 1.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ ร้อยละ 88.0 และร้อยละ 95.0 ของหนี้สาธารณะคงค้างเป็นหนี้ในประเทศและเป็นหนี้ระยะยาว ตามลำดับ

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือน ม.ค.52 มีจำนวน 1.3 ล้านคน หดตัวลงร้อยละ -10.9 ต่อปี คิดเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับจากเดือนส.ค.51ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการหดตัวร้อยละ 30 ต่อปี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากฐานการคำนวณที่ต่ำปีก่อนและเหตุการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายเต็มที่

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ม.ค. 52 หดตัวร้อยละ -25.6 ต่อปี ซึ่งเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 นับจาก ต.ค.51 เป็นต้นมา เนื่องจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกหดตัวลง เช่น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่างประเทศที่หดตัวลงมาก (Global Recession) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ ขณะเดียวกันสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นตลาดภายในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร การปั่น การทอ ก็หดตัวลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวมเช่นกัน

การประชุม กนง. เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 52 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี เป็นผลมาจากการประเมินว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยผ่านการส่งออกที่ลดลงอย่างมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีโอกาสต่ำกว่าเป้าหมายในบางช่วงของปีนี้ จึงเห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและดูแลเสถียรภาพของระดับราคาในช่วงต่อไป

Economic Indicators: Next Week

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.พ. 52 คาดว่าจะอยู่ที่ -0.7 ต่อปี หดตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักจากปัจจัยฐานการคำนวณที่สูงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเทียบกับเดือนก่อนหน้าคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปจะขยายตัวร้อยละ 0.4 เนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 ตามการยกเลิกนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ในส่วนของภาษีสรรพสามิต ประกอบกับราคาสินค้าประเภทเนื้อสัตว์เช่น เนื้อหมูและปลา มีราคาปรับตัวขึ้นเล็กน้อย

Foreign Exchange Review

ค่าเงินสกุลคู่ค้าหลักของไทยเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงในทุกสกุลค่าเงินของประเทศคู่ค้าหลักของไทยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงิน

ดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากวิกฤตการเงินโลกยังคงรุนแรงต่อเนื่อง แม้ว่าทางการสหรัฐจะประกาศรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน (Capital Assistance Program) โดยการตรวจสอบ (Stress Test) สถาบันการเงินก่อนที่จะเข้าเพิ่มทุนโดยซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ (Convertible Preferred Stock) แล้วก็ตามเนื่องจากตลาดมองว่าในทางพฤตินัยแล้วจะเป็นการนำสถาบันการเงินดังกล่าวให้เป็นของรัฐ (De facto Nationalization) และบ่งชี้ว่าสถาบันการเงินเหล่านั้นมีปัญหารุนแรง นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอ โดยเฉพาะดัชนีราคาบ้าน Case-Shiller ที่ปรับลดร้อยละ -18.5 ในปี 51 ขณะที่ยอดขายบ้านคงค้างหดตัวลงต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 52 บ่งชี้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยลบด้านจิตวิทยาต่อตลาด และยังคงลงทุนในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในฐานะเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยสูง (safe haven) อย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับทุกสกุล

ด้านค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากในรอบ 3 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมาอยู่ที่ 97.9 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐเนื่องจากตัวเลขการส่งออกญี่ปุ่นที่หดตัวลงมากถึงร้อยละ -45.7 ต่อปี เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดหลักเช่นสหรัฐยุโรป และจีนหดตัวลงมาก ประกอบกับสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นที่ไม่มั่นคงและกระแสข่าวการล้มละลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทำให้นักลงทุนกังวลในสภาวะเศรษฐกิจการเงินในญี่ปุ่นโดยรวม จึงทำให้เงินเยนเริ่มสูญเสียความเป็น safe haven และอ่อนค่าลงอย่างรุนแรง

ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปและอังกฤษยังคงตกต่ำต่อเนื่อง โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และอังกฤษหดตัวที่ประมาณร้อยละ -1.6 ถึง -2.6 ต่อปี เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจในเยอรมนี และคำสั่งซื้อสินค้าทุนในยุโรปปรับตัวลงต่อเนื่อง ด้านภาคการเงินอังกฤษยังคงตกต่ำต่อเนื่องจนทำให้ทางการต้องเข้ารับค้ำประกันผลขาดทุนจากสินทรัพย์ของสถาบันการเงินเป็นจำนวน 5 แสนล้านปอนด์สเตอลิงค์ ทั้งนี้ วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในภูมิภาคยุโรปโดยรวมทำให้นักลงทุนยังคงขายสินทรัพย์สกุลยูโรและปอนด์สเตอลิงค์อย่างต่อเนื่องและหันไปลงทุนในดอลลาร์สหรัฐแทน

ในขณะที่ค่าเงินเอเชียรวมทั้งบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยหลังจากอ่อนอย่างต่อเนื่องนับจากต้นปี เนื่องจากความกังวลในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กระทบสู่การส่งออกของประเทศเอเชีย โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ จนทำ ให้อินโดนีเซียออกมาตรการการคลังเพิ่มเติม ขณะที่ธนาคารกลางของมาเลเซียและไทยต้องลดดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.5 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่ GDP ไตรมาส 4 หดตัวลง ซึ่งทำให้นักลงทุนที่เคยลงทุนในเอเชียหันกลับไปลงทุนในสหรัฐแทน ค่าเงินเอเชียรวมทั้งบาทจึงอ่อนค่าลง

ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) เมื่อเทียบกับคู่ค้าหลัก 12 สกุลเงิน (ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน หยวน ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์ไต้หวัน วอนเกาหลีดอลลาร์สิงคโปร์ รูเปียห์อินโดนีเซีย ริงกิตมาเลเซีย ปอนด์เสเตอลิงค์และเปโซฟิลิปปินส์) ณ วันที่ 27 ก.พ. 52 แข็งค่าขึ้นจากค่าเฉลี่ยปี 51 ที่ร้อยละ 2.3 และแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วที่อยู่ที่ร้อยละ 1.07

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับวอนเกาหลี (ร้อยละ 18.0) รูเปียห์อินโดนีเซีย (ร้อยละ 6.9) ยูโร (ร้อยละ 6.1) ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 3.4) เยน(ร้อยละ 3.4) ริงกิตมาเลเซีย (ร้อยละ 3.0) และดอลลาร์ไต้หวัน (ร้อยละ 2.5)แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 3.4) ดอลลาร์ฮ่องกง (ร้อยละ3.4) หยวน (ร้อยละ 3.2) ปอนด์สเตอลิงค์ (ร้อยละ 1.7) และเปโซฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 1.7)

Foreign Exchange and Reserves

ในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 20 ก.พ.52 ทุนสำรองระหว่างประเทศ (Net Reserve) เพิ่มขึ้นสุทธิ 0.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 118.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของ Gross Reserve จำนวน 0.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เป็นการลดลงของ Forward Obligation จำนวน -0.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองประเทศ (Net Reserve)เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าบริหารจัดการค่าเงินบาท ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคค่าเงินบาทจึงอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้า จาก 35.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรืออ่อนค่าลงร้อยละ 1.57 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

Major Trading Partners’ Economies: This Week

ยอดจำหน่ายบ้าน (Existing home sales) ของสหรัฐเดือนม.ค. 52 หดตัวที่ร้อยละ -5.3 (mom) จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 (mom) (ตัวเลขปรับปรุง) มาอยู่ที่ 4.49 ล้านหลัง ในขณะที่ราคาบ้าน (Median Home Price) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 170,300 ดอลลาร์สหรัฐหรือหดตัวลงร้อยละ -14.8 ต่อปี เป็นสัญญาณว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะถดถอย

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนก.พ.52 อยู่ที่ระดับ 25.0 ต่ำสุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้ขึ้นมาในปี 2510 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 37.4 (ตัวเลขปรับปรุง) แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ลดลง โดยเป็นผลจากความกังวลจากภาวะว่างงาน แนวโน้มการทำธุรกิจโดยรวม และความมั่งคั่งที่ลดลง ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นในรูปการใช้จ่ายที่ลดลงตาม

ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรโซนเดือนก.พ.52 อยู่ที่ระดับ 65.4 ลดลงจาก 67.2 ในเดือนก่อนหน้า และถือเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากภาวะตลาดสินเชื่อที่ตึงตัวได้ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจและครัวเรือนเริ่มขาดสภาพคล่อง นอกจากนี้ ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังมองว่ามาตรการการคลังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจถดถอยของกลุ่มประเทศยูโรโซนน่าจะยังคงยืดเยื้อต่อเนื่องออกไปอีก

GDP ฮ่องกงไตรมาส 4 ปี 51 หดตัวที่ร้อยละ -2.5 ต่อปี หรือร้อยละ-2.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการหดตัวที่รุนแรงสุดในรอบ 6 ปีโดยด้านอุปสงค์การบริโภคภาคเอกชนหดตัวถึงร้อยละ -3.2 ต่อปี การส่งออกหดตัวถึงร้อยละ -4.9 ต่อปี ในขณะที่ด้านอุปทาน ภาคการก่อสร้างหดตัวที่ร้อยละ -3.6 ต่อปี โดยทั้งปี 51 GDP ฮ่องกงขยายตัวเพียงร้อยละ 2.5 ต่อปีซึ่งเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปี

ผลผลิตอุตสาหกรรมของไต้หวัน เดือนม.ค.52 หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ที่ร้อยละ -43.1 ต่อปี หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ร้อยละ-32.0 ต่อปี (ตัวเลขปรับปรุง) ผลจากการหดตัวในทุกหมวดอุตสาหกรรม โดยการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก หดตัวถึงร้อยละ -52.3 ต่อปี ในขณะที่การผลิตเครื่องจักรกลโลหะ และภาคก่อสร้าง หดตัวถึงร้อยละ-50.6 และ -21.5 ต่อปี ตามลำดับ เป็นสัญญาณว่าภาคอุตสาหกรรมไต้หวันกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตตามยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกสินค้าและนำเข้าสินค้าของฮ่องกง เดือนม.ค.52 หดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 51 ปีที่ร้อยละ -21.8 และร้อยละ -27.1 ต่อปีตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ร้อยละ -11.4 และร้อยละ -16.2 ต่อปี ตามลำดับ โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวและวันหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่ง domestic export หดตัวถึงร้อยละ -50.6 ต่อปี ในแง่มิติคู่ค้า การส่งออกไปยังทวีปเอเซียหดตัวที่ร้อยละ -30.3 ต่อปี ขณะที่การส่งออกไปยังเนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรหดตัวร้อยละ -15.0-7.0 และ -6.1 ต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ การนำเข้าที่หดตัวเร่งขึ้นมากกว่าการส่งออก ทำให้ดุลการค้าฮ่องกงเดือน ม.ค. 52 เกินดุลที่ 7.2 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง

มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าของญี่ปุ่นเดือนม.ค. 52 หดตัวร้อยละ -45.7 ต่อปี เนื่องจากผลของวิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้อุปสงค์สินค้าญี่ปุ่นลดลง ขณะที่การนำเข้าหดตัวร้อยละ -31.7 ต่อปี ส่งผลให้ญี่ปุ่นประสบสภาวะขาดดุลการค้าเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และเดือนนี้ได้ทำสถิติขาดดุลการค้าสูงสุดถึง -952.6 พันล้านเยน (10.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สิงคโปร์เผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค. 52 ที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 4.3 ต่อปี ทั้งนี้ นับจากเดือน เม.ย.51 เป็นต้นมาอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญมาจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง

ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.50 เหลือร้อยละ 2.00 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ในขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ