ภาพรวมเศรษฐกิจ ( กุมภาพันธ์ 2552 )
ดัชนีชี้วัดผลผลลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ที่ปรับตามฤดูกาลแล้วประจำเดือนธันวาคมของงกลุ่ม EU15 ทรุดตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าโดยลงมาอยู่ที่ระดับ 101.7 เทียบกับ 104.3 จุดเมื่อเดือนที่แล้ว หรือเท่ากับลดลงถึงร้อยละ 12.7 ในรอบ 12 เดือนน ซึ่งเป็นดัชนีที่ต่ำที่สุดนับจากกเดือนกุมภาพันธ์ 2004
ขณะที่ดัชนีชี้วัดทางด้านอุปสงค์ของกลุ่ม EU15 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ยังคงทรุดตัวลงแรงต่อเนื่องนับจากที่ขึ้นไปสูงสุดเมื่อเดือนพฤฤษภาคม 2007 โดยดัชนีผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Economic Sentiment Index: ESI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ลดลงเหลือเพียง 65.4 จุด เทียบกับ 67.2 จุดเมื่อเดือนก่อนหน้าหรือคิดเป็นลดลงถึงร้อยละ 34.8 จากปีที่แล้ว ทั้งนี้ ดัชนี ESI เคยขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 111.6 จุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2007 ซึ่งการที่ดัชนียังคงทรุดตัวต่อเนื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่ออนาคตของเศรษฐกิจในพื้นที่ยูโรที่ยังคงค่อนข้างย่ำแย่สอดคล้องกกับการประมาณการแนวโโน้มเศรษฐกิจในปี 2009 ของพื้นที่ยูโรจะติดลบร้อยละ 1.9
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmoonised Indexx of Consummer Prices: HICP) ของพพื้นที่ยุโรป (Eurro Area: 16 ประเทศ) ประจำเดือนมกกราคมยังคงชชะลอตัวลงแรงต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกเหลือร้อยละ 1.1 จากร้อยละ 1.6 ในเดือนทที่แล้ว ก่อนหน้านี้อัตราเงินนเฟ้อขึ้นไปททำสถิติสูงสุดรร้อยละ 4.0 เมื่อเดือนมิถุนนายนและกรกกฎาคมปี 2008 และนับเป็นเดือนที่ 2 ที่อัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายร้อยละ 2.0 รวมททั้งยังทำสถิตติต่ำเป็นประวัติการณ์นับจากมีการรวมมสกุลเงินในปีปี 1999 เป็นต้นมา หมวดราคาสินค้าที่ส่งผลต่อการเพิ่มมของเงินเฟ้อในเดือนนี้เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วมาจาก หมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ (3.2%) หมวดที่อยู่อาศัย (3.1%) และหมวดโรงแรมและภัตตาคาร (3.0%) ขณะที่หมวดที่มีระดับราคาเพิ่มขึ้นต่ำเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ หมวดคมนาคมขนส่ง ((-3.2%) หมวดสื่อสารโทรคมนาคม (-1.9%) และหมวดเครื่องนุ่งงห่ม (-0.6%)โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Malta Slovakia Finland Belgium และ Greece ที่มีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3.1, 2.7, 2.5, 2.1 และ 2.0 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้ฟ้อต่ำสุด ได้แก่ Luxemburg Portugal Spain และ France ที่มีเงินเฟ้อร้อยละ 0.0, 0.1, 0.8 และ 0.8 ตามลำดับ
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศยูโร 27 ประเทศ (EU 27) ก็ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 1.7 จากร้อยละ 2.2 เมื่อเดือนที่แล้ว โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสสูงสุดในกลุ่มยยูโร ได้แก่ Latvia Lithuania และ Romania ที่มมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 9.7 9.5 แลละ 6.8 ตามลลำดับ
ในนเดือนมกราคคม Euro area 16 ประเทศมียอดผู้ว่างงงานที่ปรับตตามฤดูกาลแล้วรวมกันทั้งสิ้น 13.036 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 256,000 คนจากเดือนนที่แล้ว) และเมื่อเทียบกับบเดือนเดียวกกันของปีที่แล้วจำนนวนผู้ว่างงานนเพิ่มขึ้นถึง 1.64 ล้านคน ส่งผลให้อัตรราการว่างงานนในเดือนนี้เพพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนทที่แล้วแตะระดับร้อยละ 8.2 เป็นนครั้งแรกนับจากเดือนตุลาคม 2006 เป็นต้นมา โดยยที่อัตราการวว่างงานของ Euro area เพิ่มขขึ้นต่อเนื่องนับจากที่ลงไปอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัตติการณ์ที่ระดับร้อยละ 7.2 ในเดือนธันววาคม 2007 กการที่ทั้งจำนววนผู้ว่างงานและอัตราการผู้ว่างงานปรับับสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังครอบคลุมเศรษฐกิจของยุโรป
ขณะที่ยอดผู้ว่างงานของ EU 27 ประเททศ ณ สิ้นเดืออนมกราคม ก็เพิ่มขึ้นเป็น 18.412 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 7.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ7.4 เมื่อเดือนที่แล้ว
อัตราดดอกเบี้ย : ECB คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 2.0 เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ขณะที่ปริมาณเงินและสินเชื่อชะลอตัวลงโดยลำดับ
เมื่อวันที่ 5 กุมมภาพันธ์ คณะกรรมการธธนาคารกลางสหภาพยุโรปป มีมติคงอัตรราดอกเบี้ย Refinancing Operations (MRO) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขออง ECB ไว้ตามเดิมที่ร้อยละ 2.0 หลังจากที่มีการลลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้งสิ้นร้อยละ 2.25 ตลอดการประชุม 4 ครั้งที่ผ่าน โดย ECB ได้ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่าเนื่องจากกแรงกดดันจากอัตราเงินแฟ้อทั้งจากภายในและภายนอกยูโรยยังคงลดลงอันนเป็นผลมาจากภาวะเศรษษฐกิจหดตัวลลงทั่วโลกที่จะยังคงอยู่ตต่อไปอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ปริมาณเงินและสินเชื่อยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อแนื่อง ทำให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยยู่ต่ำกว่าระดับบเป้าหมายร้อยละ 2.0 ในระยะปานกลาง ซึ่งจะช่วยในการรักษาเสถียรภาพการขขยายตัวของแศรษฐกิจและการจ้างงาน รวมถึงเสถียรภาพของระบบกการเงิน ECB อย่างไรก็ดี คณะกรรมการจะมีการติดตามสถานการณ์ทางแศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้าอย่างใกล้ชิดดต่อไป โดยกการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นนในวันที่ 5 มีนาคม 2552
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดืออนมกราคม สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของ Euro Area ยังคงชะลอลงต่อเนนื่อง โดยยอดคงค้างของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง หรือ M3 อยู่ที่ระดับ 9.372 ล้านล้านยูโร ลดลง 14 พันล้านยูโรจากเดือนที่แล้ว แต่คิดเป็นอัตราการเพิ่มร้อยละ 5.9 จากปีที่แล้ว (เดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5) ขณะที่ยอดคงค้างสินแชื่อที่สถาบันการเงิน (MFI) ให้กู้กับบภาคเอกชน (loan to private sector) มียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนมกราคมที่ระดับ 10.867 ล้านล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 69 พันล้านนยูโร โดยคิดแป็นอัตราการเพิ่มจากปีที่แล้วร้อยละ 5.0 ((เดือนธันวาคคมขยายตัวร้อยละ 5.8) ซึ่งการที่อัตราการเพิ่มของงสินเชื่อชะลออตัวลงโดยต่อเนนื่องสะท้อนถถึงความเข้มงงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ชัดเจนนขึ้นโดยลำดับ
สำหรับค่าเฉลี่ยยของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน (Money market interest rates) ในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าเกือบทุกอายุ โดยอัตราดอกเบบี้ยระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปีลดดลงระหว่าง 48 - 55 basis points ขณะที่อัตราผลลตอบแทนระยะยาวอายุ 55 ในเดือนนี้ลดลง 15 basis points ยกเว้นอัตราผลตอบแทนอายุ 10 ปีที่ปรับับเพิ่มในเดือนนนี้ 10 basis points และเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างอัตราผลตอบแททนของเดือนเดียวกันปีที่แล้วพบว่าอัตราผผลตอบแทนในนเดือนนี้อยู่ในระดับต่ำกว่าปีปีที่แล้วระหว่าง 221-277 basis points โดยโครงสร้างอัตราผลลตอบแทนเริ่มมีลักษณะปกตติ (normal yield curve) เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่สภาพคล่องในตลาดเงินมีความตึงตัวมากทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนมีลักษณะทที่ผลตอบแทนระยะสั้นสูงกว่าผลตอบแทนระยะยาว
ค่าเงินยูโรเมื่อแทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกุมมภาพันธ์อ่อนนค่าลงต่อเนื่อองเป็นเดือนที่สอง โดยเงินยูโรปิดตลาดวันแรกของปีที่รระดับ 1.2760 $/ยูโร จากนั้นนก็เคลื่อนไหววในทิศทางที่ออ่อนค่าลงเล็กนน้อยในช่วงแคบๆ ในกรออบระหว่าง 1..25 - 1.30 $/ยูโร ตลอดทั้งแดือน แม้ว่า ECB จะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยยละ 2.0 ตามเดิมแต่เงินยูโรยังคงถูกกดดันจากวิกฤตในยุโรปตะวันออกเมื่อประเทศรัสเซียถูกปรับลดดอันดับความมน่าเชื่อถือลงงทำให้เงินรูเบิลอ่อนค่าลงและทำให้ค่าเงินของประเทศยุโรปตะวันออกอื่นอ่อนค่าตามไปปด้วยเนื่องจากมีความเชื่ออมโยงทางการค้าระหว่างกันันค่อนข้างมาก รวมถึงสถานการณ์ที่กำลังวิกฤตในปรระเทศยุโรปกกลาง เช่น ฮังการี และลัตเววีย เป็นต้น ที่เป็นสมาชิก EU แต่มีปัญหาเศรษฐกิจจากการชะลอตัววของการส่งออกและภาระหนี้ต่างประเทศที่สูงจนต้องเข้ารับับโครงการเงินกู้ของ IMF และยังมีอีกหหลายประเทศในแถบนั้นออาจต้องเดินตามมรอย 2 ประเทศนี้เข้าโครงงการ IMF เช่น เอสโตเนียย ลิธัวเนีย รวมถึงโรมาเนีย เป็นต้น แรงกดดันต่อค่าเงินยูโรมีมากก็เนื่องจากธนนาคารในยุโรรปเป็นผู้ให้สินนเชื่อรายใหญญ่สุดแก่ประเททศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะออสเตรียและสวีเดน ทำให้สถานะการเป็น safe haven ของเงินยูโรถูกกสั่นคลอน โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับับ 1.2644 $/ยูโร ส่งผลให้โดยรวมแล้วค่าเฉลี่ยของเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. ในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากค่าเฉลี่ยของเดือนที่แล้วร้อยละ 3.4 และอ่อนค่าร้อยละ 13.3 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา
เงินยูโรเมื่อเทียยบกับเงินปออนด์ในเดือนออ่อนค่าลงเป็นนครั้งแรกในรรอบ 4 เดือน โดยเงินยูโรปิดตตลาดวันแรกขของปีที่ระดับบ 0.9034/จากนั้นเงินยูโรก็อ่อนค่าลลงจนมีระดับบปิดต่ำสุดของเดือนที่ระดับ0.8607 ปอนด์/ยูโร แม้ว่า ECB จะปรระกาศคงอัตรราดอกเบี้ย ขณะที่ Bank of England ปรระกาศปรับลดดอัตราดอกเบี้ยลงก็ตามม จากนั้นเงินนยูโรก็เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างงกลับบขึ้นมาแตะระดับ 0.903 ปอนด์/ยูโร อีกครั้ง ก่อนที่จะอ่อนตัวลลงและเคลื่อนนไหวในช่วงแคบๆ ตลอดชช่วงที่เหลือของเดือนและปิดดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ0.8931 ปอนด์/ยูโร โดยค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงจากเดือนที่แล้วร้อยละ 3.4 แต่ยังแข็งค่าร้อยละ 18.1 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านนมา
เมื่อเทียบกับเงินเยนแล้ว คค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงต่อเนื่องเป็นนเดือนที่ 7 โดยเงินยูโรมีระดับปิดวันแรกกของเดือนที่ระดับ 14.04 เยน/ยูโร จากนั้นนเงินยูโรก็ทยยอยแข็งค่าอย่างต่อเนื่องตลออดทั้งเดือนแลละสามารถกลับขึ้นไปปิดแหนือระดับ 125 เยน/ยูโร ได้อีกกครั้งในช่วงท้ายเดือนก่อนที่จะปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 123.23 เยน/ยูโร ซึ่งเป็นรระดับใกล้เคียยงกับช่วงปลายเดือนธันวาคม เนื่องจากเงินเยนเริ่มถูกเทขายเมื่อนักลงททุนเริ่มไม่มั่นใจในความเป็น safe haven ของเงินเยนเช่นในหลายเดือนที่ผ่านมาเมื่อปรากกฎว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหดตัวลงแรงและได้รับผลกระทบจากกการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดดี แม้เงินยูโรมีทิศทางที่แขข็งค่าขึ้นแต่คค่าเฉลี่ยของเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินเยนนในเดือนนี้ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเดือนที่แล้วอยู่รร้อยละ 1.2 และอ่อนค่าร้อยละ 25.1 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา
ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาทเป็นนเดือนที่สอง โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 44.619 ฿/ยูโร จากนั้นก็ขึ้นไปเคลื่อนไหวใใกล้เคียงระดับ 45 ฿/ยูโร เกือบบตลอดทั้งเดือน ก่อนที่เงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในช่วงท้ายเดือนจนสามารถขึ้นไปเกือบแตะระดับ 46 ฿/ยูโร ก่อนที่ปิดวันสุดท้ายของเดืออนที่ระดับ 45.7144 ฿/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 2.3 และอ่อนค่าร้อยละ 2.0 ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา
เดือนธันวาคม: Euro Area ยังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัดติดต่ออกันเป็นเดือนที่ 8
ณ สิ้นเดือนธันนวาคม Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินนสะพัดที่ปรับบตามฤดูกาลแล้ว (seasonally adjusted current account balance) ขาดดุลจำนวน 17.3 พันล้านนยูโร (หรือเทท่ากับเกินดุล 1.4 พันล้านยูโร กรณีเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ปรับตามฤดูกาล) โดย Euro area ขาดดุลการค้า (goodstrade) ดุลรายได้ (income) และดุลเงินโอน (current transfer) จำนวน 1.2 2.2 แลละ 7.6 พันล้านยูโรตามมลำดับ แต่มีกการเกินดุลบริการ(services) จำนวน 3.7 พันล้านยูโร นับเป็นเดือนที่แปด ติดต่อกันที่ Euro area มีฐานนะดุลบัญชีเดินนสะพัดขาดดุล
โดยในปี 2008 ดุลบัญชีเดินนสะพัดของ Euro area มีฐานนะขาดดุลบัญญชีเดินสะพัดรรวม 63.2 พันลล้านยูโร หรืออเท่ากับร้อยลละ 0.7 ของ GDP เทียบกับปีปี 2007 ที่มีฐานะเกินดุลบบัญชีเดินสะพัด 36.3 พันลล้านยูโร การทที่ฐานะดุลบัญญชีเดินสะพัดสะสมกลับมาขาดดดุลในรอบ 12 เดือนที่ผ่านนมา มีสาเหตตุหลักมาจากการที่ Euro area กลับมามีฐานะขาดดดุลการค้าสะสม รวมถึงการรที่ดุลรายสะสมก็กลับมาขขาดดุลด้วยเช่นกัน
ทางด้านดุลบัญญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (financial account) ที่ยังไม่ปรับตามฤดูกาล (non-seasonal adjusted) ประจำเดือนธันวาคมม พบว่า Euro area มีฐานะบัญชีเงินทุนไหลลเข้าสุทธิ 10.7 พันล้านยูโร(เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่มีฐานะเงินทุนไหหลเข้าสูงเพียง 4.6 พันล้านยูโร) แยกเป็น 1) เงินลงทุนทางตรง (direct investment) มียอดไหลอออกสุทธิ 16.6 พันลล้านยูโร 2) เงงินลงทุนในหหลักทรัพย์ (pportfolio inveestment) มียออดไหลเข้าสุททธิ 18.0 พันนล้านยูโร 3) อนุพันธ์ทางการแงิน มีฐานะไหหลเข้าสุทธิ 1.3 พันล้านยูโร และ 4) เงินลงทุนประเภทอื่น (othher inveestment) มีฐานะไหลเข้าสุทธิเพียง 0.2 พันล้านยูโร
ทั้งนี้ ในรอบปี 2008 Euro area มีฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (accumulated financial account) ไหลเข้าสุทธิถึง 205.4 พันล้านยูโร (เทียบกับปี 2007 ที่มีฐานะเงินทุนสะสมไหลเข้าสุทธิเพียง 29.4 พันล้านยูโร) สาเหตุที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายเกินดุลเพิ่มขึ้นมากในปี 2008 เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้าเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์สุทธิ (net portfolio investments) มากกว่าปีที่แล้วถึงเกือบ 2 เท่าตัว แม้ว่าจะถูกหักล้างโดยการที่เงินลงทุนทางตรงไหลออกสุทธิ (net direct investments) เพิ่มจากปีก่อนหน้าถึงกว่า 2 เท่าตัวเช่นกันก็ตาม เนื่องจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์มีฐานที่ใหญ่กว่า ซึ่งโดยรวมแล้วสะท้อนให้เห็นว่าในปี 2008 Euro area มีการลงทุนทางตรงภายนอก Euro area เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติมีการลงทุนในหลักทรัพย์ของ Euro area มากขึ้นจากปีที่แล้ว โดยที่นักลงทุนจาก Euro เองก็กลับลดการลงทุนในหลักทรัพย์นอก EU ด้วยซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต่างจากปี 2007
- ประมาณการเบื้องต้น (flash estimates) อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP growth) ประจำไตรมาสที่ 4 ของยูโร 16 ประเทศ (Euro area) พบว่าเศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว (previous quarter) และหดตัวร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (year on year) เทียบกับไตรมาสที่ 3 ที่เศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 0.2 และขยายตัวร้อยละ 0.7 ตามลำดับ โดยประเทศเยอรมัน อิลาลี และสเปน เศรษฐกิจเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าขยายตัวติดลบร้อยละ 2.1 1.8 และ 1.0 ตามลำดับ ถือว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) ในทางเทคนิคแล้วเนื่องจากขยายตัวติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่ฝรั่งเศสแม้เศรษฐกิจจะติดลบในไตรมาสนี้ร้อยละ 1.2 แต่ในไตรมาสที่แล้วเศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวกเล็กน้อยร้อยละ 0.1 (13 กุมภาพันธ์ 2009)
- นาย Andrius Kubilius นายกรัฐมนตรีของ Lithuania เห็นว่าจะเป็นการดีหากรัฐบาลของประเทศในสหภาพยุโรปจะร่วมมือกันมากขึ้น (more co-ordinated) เนื่องจากขณะนี้ประเทศยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่กำลังเดินตามรอยประเทศยุโรปตะวันตกในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้เนื่องจากตลาดส่งออกซบเซาและธนาคารต่างชาติลดการให้สินเชื่อแก่บรรดาธุรกิจท้องถิ่นลงหลังจากที่ความเสี่ยงของประเทศยุโรปตะวันออกเพิ่มขึ้นจากวิกฤตการเงินในรัสเซียและยูเครนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ และยืนยันว่า Lithuania จะไม่ตามรอยประเทศ Latvia ในการขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF และไม่เห็นด้วยกับผู้ว่าการธนาคารกลางของ Lithuania ที่แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่าควรตกลงกับ IMF แต่เนิ่นๆ ในเรื่องวงเงินกู้ฉุกเฉินหากจำเป็นต้องใช้ ซึ่งนาย Kubilius เห็นว่าการกระทำเช่นนั้นจะกลายเป็นตราบาปสำหรับประเทศ และเห็นว่า Lithuania ประเทศยังมีศักยภาพที่จะกู้เงินจากตลาดการเงินเองได้ (18 กุมภาพันธ์ 2009)
- ECB เตือนเยอรมันถึงแนวคิดที่จะให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิก Euro zone 16 ประเทศ หากประสบปัญหาในการก่อหนี้เพื่อชดเชยหนี้ที่ครบกำหนด (refinance) ว่าแนวคิดดังกล่าวอาจขัดกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรป (EU) ที่ระบุห้ามให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกที่มีปัญหายอดหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น (no bail-out clause) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของกลไกการทำงานของการรวมสหภาพการเงิน (monetary union) (20 กุมภาพันธ์ 2009)
- Standard & Poor's ประกาศลดระดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ภาครัฐ (sovereign credit rating) ของประเทศ Latvia ลงเหลือ BB+/B จากเดิมอยู่ที่ระดับ BBB-/A-3 เนื่องจากแนวโน้มของดุลยภาพภายนอกแย่ลง (worsening external outlook) รวมถึงความเสี่ยงจากความตั้งใจในการ
ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจ (economic program) ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทั้งนี้ แนวโน้มที่เป็นลบ (negative outlook) อาจทำให้ Latvia ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือลงอีกภายในปีนี้หรือปีหน้า ขณะเดียวกัน ก็จับตามองระดับความน่าเชื่อถือในอนาคต (CreditWatch) ของ Estonia และ Lithuania เป็นลบ (negative implications) การลดระดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้หมายถึงตราสารหนี้ภาครัฐของ Latvia ถูกปรับลงสู่ระดับต่ำกว่าระดับที่น่าลงทุน (junk level) ตามประเทศ Romania (24 กุมภาพันธ์ 2009)
ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th