สถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสที่ 1 และแนวโน้มในปี 2552 “ถดถอยทรงตัว..เริ่มมีสัญญาณบวกแต่ไม่ชัดเจน”

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 25, 2009 11:52 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วไป

Real GDP ลดลงนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 50 และเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 51 และ Real GDP ในไตรมาสที่ 4 ติดลบร้อยละ 3.2 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของการส่งออกอย่างมาก ทั้งนี้ เมื่อ 27 เม.ย.52 Cabinet Officeได้รายงานประมาณการเศรษฐกิจญี่ปุ่นปี 2552 ใหม่ ยังมีแนวโน้มถดถอยต่อไป ตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจแย่ลงกว่าที่ได้ประมาณการณ์ไว้เมื่อ ธ.ค.51 ทั้ง GDP อัตราว่างงาน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และเริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืดเนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภคมีแนวโน้มติดลบเพิ่มขึ้น ดังนี้

ตัวเลขประมาณการณ์เศรษฐกิจปี 2552

ณ ธ.ค.51 ณ 27 เม.ย.52 GDP 0.3 % -3.3 % อัตราว่างงาน 4.7 % 5.2 % ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม -4.8 % -23.4 % ดัชนีราคาผู้บริโภค -0.4 % -1.3 %

ที่มา Cabinet Office

1. ดัชนีภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญล่าสุด

1.1 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output)

กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economic Trade and Industry) ได้เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) ของเดือน มี.ค. 52 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา มาอยู่ที่ระดับ 70.6 (ปี 2005=100) ซึ่งเป็นการเพิ่มเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน เนื่องจาก Inventory ของสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคและเครื่องจักรเริ่มหมดลง ทำให้ต้องมีการผลิตเพิ่มขึ้น

1.2 การใช้จ่ายภาคครัวเรือนในญี่ปุ่น (Household Spending)

กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสาร (Ministry of Internal Affairs and Communications) ได้เปิดเผยว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือน เดือน มี.ค.51 ลดลงร้อยละ 0.4 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้าลดลงติดต่อกัน 13 เดือนแล้ว เนื่องจากผู้บริโภคได้ลดการใช้จ่ายลงเพราะกังวลเรื่องการจ้างงานในอนาคต

1.3 การลงทุนของภาคเอกชน (Capital Spending)

Cabinet office รายงานว่าคำสั่งซื้อเครื่องจักรลดลงร้อยละ 3.2 ในเดือน ม.ค.52 (ตัวเลขล่าสุด) เมื่อเทียบกับลดลงร้อยละ 1.7 ในเดือนก่อนหน้า ลดลงติดต่อกัน 4 เดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ในภาคอุตสาหกรรมในเดือน ม.ค.52 ลดลงถึงร้อยละ 27.4 แต่นอกภาคอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 แสดงให้เห็นถึงการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมลดลง ในขณะที่คำสั่งซื้อเครื่องจักรนอกภาคอุตสาหกรรมซึ่งประกอบด้วยธุรกิจบริการ การค้าส่งค้าปลีก เกษตร และภาครัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นและเริ่มส่งสัญญาณว่ามีดีมานด์เพิ่มขึ้น หลังที่ได้ลดติดต่อกันมาหลายเดือน

1.4 อัตราการว่างงาน (Jobless)

เดือน มี.ค 52 อยู่ที่ร้อยละ 4.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งจำนวนคนว่างงานเป็น 3,350,000 คน เพิ่มขึ้น 670,000 คน จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า อัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว ไม่มีการจ้างงานใหม่ จำนวนพนักงานบริษัทได้ถูกเลิกจ้างในเดือน มี.ค.52 มีมากกว่า 20,000 คน ประชาชนกังวลอนาคตมากขึ้น

1.5 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Core Consumer Price)

กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนยกเว้นอาหารสด (CPI, ปี 2548=100) ประจำเดือน มี.ค.52 ลดลงร้อยละ 0.1 อยู่ที่ 100.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้บริโภคได้ลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายเดือนและเริ่มมีสัญญาณภาวะเงินฝืดเกิดขึ้นแทน

1.6 อุปสงค์ภาครัฐ (Government Demand)

ประกอบด้วย การลงทุนภาครัฐ (Public Investment) การบริโภคภาครัฐ (Government Consumption) ณ ไตรมาสที่ 4 ปี 51 ลดลงร้อยละ 0.6และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนหน้า (ตัวเลขล่าสุด)

1.7 ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Balance)

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประจำเดือน มี.ค.52 มีจำนวน 1,485.6 เทียบกับ 2,902.4 พันล้านเยน ในระยะเดียวกันของปีก่อนหน้า ลดลงติดต่อกันเป็น 13 เดือนแล้ว

ดุลการค้าและบริการ เกินดุล 98.7 จากที่ขาดดุล 1,194.4 พันล้านเยนในระยะเดียวกันปีก่อนหน้า

ดุลการค้า เกินดุลจำนวน 132.9 จากที่เกินดุล 1,245.6 พันล้านเยน เป็นผลมาจากการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ และเอเชียลดลงอย่างมาก .ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2551 ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นขาด

ดุลการค้าครั้งแรกในรอบ 28 ป ตกต่ำสุดในประวัติการณ์ สาเหตุมาจากการส่งออกรถยนต์ลดลง

ดุลบัญชีบริการ ขาดดุลลดลงจาก 51.2 พันล้านเยนเป็น 34.2 พันล้านเยน

รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลจากการ ลงทุนต่างประเทศ เกินดุลลดลงจาก 1,959.3 เป็น 1,704.1 พันล้านเยน เป็นผลมาจากกำไรของบริษัทญี่ปุ่นในต่างประเทศลดลงและได้รับเงินปันผลลดลง

ดุลบัญชีทุนและการเงิน (Capital and Financial Account Balance) มีเงินทุนไหลออกสุทธิ เป็น 2,189.8 ลดลงจาก 3,031.3 พันล้านเยน การลงทุนโดยตรงเพิ่มขึ้นเป็น 914.2 เทียบกับ 529.8 พันล้านเยนการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศลดลงเป็น 7,156.6 เทียบกับ 7,757.7 พันล้านเยน ในปีก่อนหน้า

1.8 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve)

กระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เปิดเผยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ณ สิ้นเดือน เม.ย. 52 มีจำนวน 1,011.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 7,076 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดือน มี.ค.52

2 . สถานการณ์ภาคการเงิน

2.1 นโยบายอัตราดอกเบี้ย

ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกที่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของ BOJ ได้ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.10 หลังจากที่ได้ลดลงครั้งล่าสุดในเดือน ธ.ค.51

2.2 อัตราแลกเปลี่ยน

สถานการณ์ Yen Carry Trade ได้ลดลง จากวิกฤตการเงินโลกทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นซื้อเงินเยนเพิ่ม เพื่อนำเงินกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น ประกอบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง ส่งผลอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งตัวขึ้น ณ 14 พ.ค.52 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 95 เยน

2.3 สถานการณ์ธนาคารพาณิชย์

ถึงแม้ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นจะไม่ได้รับความเสียหายมากนักจากการลงทุนใน Subprime แต่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ได้ทำให้ Real Sector ประสบปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะภาคการส่งออกและอสังหาริมทรัพย์ ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอ ทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ SMEs ที่เป็น Supply Chain เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกล้มละลายมากขึ้น ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างมากบริษัทขนาดใหญ่ชั้นนำ เช่น Sony. Toyota, Nissan ขาดทุนอย่างหนักนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทำให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นๆของญี่ปุ่นมีผลประกอบการขาดทุน โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2551 (31 มี.ค.52) ที่สำคัญ อาทิ 1) Mitsubishi UFJ Financial Group Inc. กลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 1 ขาดทุน 260 พันล้านเยน ขาดทุนครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.48 2) Mizuho Financial Group Inc. ขนาดใหญ่อันดับ 2 ขาดทุน 588.8 พันล้านเยนเนื่องจาก Mizuho ได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ Merrill Lynch ของสหรัฐฯ เร็วเกินไปทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น และได้ประกาศเพิ่มทุนจำนวน 800 พันล้านเยนในปีนี้ 3) Sumitomo Mitsui Financial Group Inc. ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ขาดทุน 370.5 พันล้านเยน 4) Nomura Holdings บริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดขาดทุน 700 พันล้านเยน ซึ่งเป็นการขาดทุนมากที่สุดในประวัติการณ์ และ มากเป็นอันดับ 1 ในบรรดาสถาบันการเงินญี่ปุ่น 5) Norinchukin Bank ธนาคารกลางสหกรณ์ที่เกิดจากการร่วมทุนของสมาชิกสหกรณ์เพื่อการเกษตร สหกรณ์เพื่อการประมง สหกรณ์ป่าไม้ ซึ่งรับฝากเงินจากสหกรณ์ดังกล่าวทั่วประเทศและนำไปบริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนแก่สมาชิกได้ขาดทุน 620 พันล้านเยน ขาดทุนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2539 นอกจากนี้ ยังมีธนาคารขนาดเล็กอีกหลายรายมีผลประกอบการขาดทุนจนต้องขอใช้เงินเพิ่มทุนรัฐบาล

ผลจากวิกฤตการเงินได้เปลี่ยน Financial Landscape ในญี่ปุ่น สถาบันการเงินขนาดเล็กควบรวมกิจการกันมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด แต่ธนาคารขนาดใหญ่ถึงแม้ขาดทุนแต่ก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ของสถาบันการเงินต่างประเทศ อาทิ

1) Sumitomo Mitsui Financial Group Inc.และ Diawa Securities Group บริษัทในเครือ กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการบริษัทหลักทรัพย์Nikko Cordial ในเครือ Citibank สหรัฐฯ

2) Mitsubishi UFJ Financial Group Inc.กำลังเจรจาเข้าซื้อหุ้นสามัญของธนาคารสหรัฐฯ Morgan Stanley จำนวนมูลค่า 705 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากได้ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์ในเดือน ต.ค. 51 ที่ผ่านมามูลค่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

3) ธนาคาร Shinsei และธนาคารAozora ซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับ 7 และ 8 ตามลำดับ กำลังเจรจาควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 6 ของญี่ปุ่น หลังจากทั้ง 2 ธนาคารขาดทุนอย่างหนักจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จนต้องขอใช้เงินงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อเพิ่มทุนฟื้นฟูกิจการ (Shinsei เดิมชื่อ Long-Term Credit Bank of Japan และ Aozora เดิมชื่อ Nippon Credit Bank ทั้ง 2 ธนาคารได้ปิดกิจการลงในช่วงวิกฤตการเงินปี 2541)

4) บริษัทหลักทรัพย์ Mizuho Securities ในเครือ Mizuho Financial Group Inc. ได้ประกาศรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์ Shinkou Securities อย่างเป็นทางการแล้ว และ

5) AIG โตเกียว ประกาศขายอาคารสำนักงานที่ตั้งอยู่ย่านธุรกิจการเงินใจกลางกรุงโตเกียว จำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้หนี้ของสำนักงานใหญ่ ภายหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้กู้เงินจำนวน 80 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อฟื้นฟูกิจการในเดือน ก.ย.51 ที่ผ่านมา ซึ่ง Nippon Insurance บริษัท ประกันภัยญี่ปุ่น กำลังเจรจาเข้าซื้อ

2.4 สัดส่วน NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์ Financial Services Agency: FSA

หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจการเงินของญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่า NPLs ในระบบธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นรายใหญ่ 11 แห่ง ณ ก.ย. 51 อยู่ที่ระดับร้อยละ1.52 (ตัวเลขล่าสุด) เพิ่มขึ้นจาก มี.ค.51 อยู่ที่ระดับร้อยละ 1.38 สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio: CAR) ณ เดือน ก.ย. 51 อยู่ระหว่าง ร้อยละ 11.73 สูงกว่ามาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ร้อยละ 8 อย่างไรก็ตาม ตัวเลข ณ สิ้นปีงบประมาณ 2551 (31 มี.ค.52) ยังไม่ได้แถลงออกมา มิฉะนั้นแล้ว จะเห็นว่าเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นลดลง และ NPLs เพิ่มขึ้น จากผลมากระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอย

2.5 สถานการณ์ตลาดทุน

ภาวะเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉพาะภาวะตกต่ำในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ได้ทำให้ดัชนีมูลค่าหลักทรัพย์เฉลี่ยที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว เมื่อวันที่ 10 มี.ค 52 ลดลงเหลือ 7,054.98 ต่ำที่สุดในรอบ 26 ปี เปรียบเทียบกับ เมื่อเดือน มี.ค.43 ที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 20,081 เยน โดย ณ 14 พ.ค.52 กระเตื้องขึ้นมาที่ระดับเฉลี่ย 9,093 เยน ผลของราคาหลักทรัพย์ลดลงได้ทำให้เงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ลดลงและยิ่งระมัดระวังการปล่อยกู้แก่เอกชนมากขึ้น

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange Group Inc.) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นจำนวนทั้งหมด 6 แห่ง ได้เลื่อนแผนเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนจากเดิมกำหนดไว้ภายในสิ้นปีนี้ เป็นภายหลังปี 2553 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) มีขนาดเล็ก เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้เอกชนนิยมระดมเงินจากธนาคารพาณิชย์แทน ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) จากการที่รัฐบาลมีหนี้สาธารณะที่อยู่ในรูปของพันธบัตรรัฐบาลเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนที่มีอยู่ในตลาดและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น เพราะต้องระดมเงินทุนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในขณะที่หุ้นกู้เอกชน (Corporate Bond) ปัจจุบันมีน้อยมากเนื่องจากฐานะการเงินของภาคเอกชนอ่อนแอ บริษัท Credit Rating ลดอันดับความน่าเชื่อถือ ไม่เอื้อให้ออกหุ้นกู้ใหม่ได้

3. นโยบายการคลัง

3.1 ฐานะการคลังของญี่ปุ่นอยู่ในขั้นวิกฤต ด้วยภาระหนี้ในรูปของพันธบัตรรัฐบาลในประเทศสูงถึงประมาณร้อยละ 170 ของ GDP นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเป็นเศรษฐกิจที่มีคนแก่มากขึ้น (Aging Economy) ปัจจุบันประชากรร้อยละ 21 อายุมากกว่า 65 ปี ในขณะที่วัยทำงานมีแนวโน้มจะลดลงเนื่องจากอัตราการเกิดลดลง แต่คนมีอายุยืนขึ้น ทำให้รัฐบาลมีภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและประกันสังคมมากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ทำให้ภาระหนี้ของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้พยายามปรับปรุงฐานะการคลัง โดยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงและมีเป้าหมายจัดทำงบประมาณเกินดุลใน ปี 2554 จากที่ขาดดุลงบประมาณติดต่อกันมาหลายปี รวมทั้งได้กำหนดเพดาน

การออกพันธบัตรรัฐบาล สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายใน งบประมาณปีละไม่เกิน 30 ล้านล้านเยน แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน ทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีในปี 2551 ต่ำกว่าเป้าหมายมาก ในขณะที่รัฐบาลมีภาระงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากกว่าเพดานที่กำหนดไว้เดิม และเลื่อนเป้าหมายการใช้วินัยการคลังต่างๆ ดังกล่าวออกไป

3.2 ภาพรวมงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งได้เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.52 วันเริ่มต้นงบประมาณประจำปีของญี่ปุ่น

งบประมาณปี 52 มีจำนวน 88.548 ล้านล้าน เยน เพิ่มมากกว่าปี 51 จำนวน 83.061 ล้านล้านเยนหรือเพิ่มขึ้น 5.487 ล้านล้านเยน

รายละเอียดรายรับและรายจ่าย ดังนี้

รายรับประกอบด้วย

1) รายรับจากการเก็บภาษีจำนวน 46.103 ล้านล้านเยน เทียบกับปี 51 จำนวน 53.554 ล้านล้านเยน หรือลดลง 7.451 ล้านล้านเยน

2) รายรับจากการออกพันธบัตรรัฐบาลใหม่ 33.294 ล้านล้านเยน เทียบกับปี 51 ที่จำนวน 25.35ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 7.946 ล้านล้านเยน

3) รายรับอื่นๆ จำนวน 9.151 ล้านล้านเยน เทียบกับปี 51 ที่จำนวน 4.16 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 4.992 ล้านล้านเยน

รายจ่ายประกอบด้วย

1) รายจ่ายทั่วไป (General Expenditures) จำนวน 51.731 ล้านล้านเยน เทียบกับปี 51 ที่จำนวน 47.284 ล้านล้านเยน หรือเพิ่มขึ้น 4.447 ล้านล้านเยน ประกอบด้วย

1.1) รายจ่ายด้านประกันสังคม (Social Security) จำนวน 24.834 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เป็นรายจ่ายที่มีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 28 ของงบประมาณทั้งหมด

1.2) รายจ่ายเพื่อส่งเสริมการศึกษา จำนวน 5.310 ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปี 51

1.3) รายจ่ายเพื่อการส่งเสริมวิทยาศาสตร์จำนวน 1.377 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1

1.4) รายจ่ายด้าน Former Military Personnel Pension and Others จำนวน 787.2 พันล้านเยนลดลงร้อยละ 7.6

1.5) รายจ่ายเพื่อป้องกันประเทศจำนวน 4.774 ล้านล้านเยน ลดลงร้อยละ 0.1

1.6) รายจ่ายเพื่อก่อสร้างสาธารณูปโภคของภาครัฐ (Public Work) จำนวน 7.070 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5

1.7) รายจ่ายด้าน Economic Assistance จำนวน 629.5 พันล้านเยน ลดลงร้อยละ 5.5

1.8) รายจ่าย Official Development Assistance: ODA จำนวน 672.2 พันล้านเยน ลดลงร้อยละ 4.0

1.9) รายจ่ายเพื่อสนับสนุน SMEs จำนวน 189 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3

1.10) รายจ่ายด้านพลังงาน คงเดิมจำนวน 856.2 พันล้านเยน ลดลงร้อยละ 1.1

1.11) รายจ่ายเพื่อ Food Supply จำนวน 865.9 พันล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9

1.12) รายจ่ายด้านเบ็ดเตล็ดจำนวน 5.064.2 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2

2) รายจ่ายเพื่อชำระหนี้จากพันธบัตรรัฐบาล (National Debt Services) จำนวน 20.244 ล้านล้านเยน เพิ่มจากจำนวน 20.163 ล้านล้านเยน ในปี 51 หรือเพิ่มขึ้น 80.5 พันล้านเยน เป็นรายจ่ายที่มีสัดส่วนมากเป็นอันดับ 2 รองจากรายจ่ายเพื่อประกันสังคมคิดเป็นร้อยละ 22.9 ของงบประมาณทั้งหมด

3) รายจ่ายเพื่อจัดสรรงบประมาณสำหรับรัฐบาลท้องถิ่นและอื่นๆ (Local Allocation Tax Grants, etc.) จำนวน 16.573 ล้านล้านเยน เทียบกับ 15.614 ล้านล้านเยน ในปี 51 หรือเพิ่มขึ้น 959.7 ล้านล้านเยน เป็นรายจ่ายที่มีสัดส่วนมากเป็นอันดับ 3 คิดเป็นร้อยละ 18.7 ของงบประมาณทั้งหมด

4. นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

รัฐบาลได้ประกาศชะลอการแปรรูปธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ได้แก่ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งญี่ปุ่น (Development Bank of Japan (DBJ) และธนาคารเพื่อ SMEs (Shoko Chukin Bank) โดยจะขยายเวลาออกไป 3 ปีครึ่ง และได้ตัดสินใจว่าจะไม่ดำเนินการขายหุ้นจนถึงสิ้นปี 2554 และระหว่างนี้จะภายใต้แผนปฏิรูปสถาบันการเงินของรัฐที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2551 สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี Koizumi ภายใต้นโยบาย Small Government ให้เอกชนดำเนินการแทนเพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล นับตั้งแต่แปรรูป Japan Post และได้มีการจัดตั้ง Japan Post Holding Company ที่มีรัฐบาลถือหุ้นทั้งหมด มีบริษัทย่อยๆ 4 บริษัทได้แก่ 1) Postal Network Co. 2) Japan Post Service Co. 3) Japan Post Bank Co. และ 4) Japan Post Insurance Co. เพื่อทยอยขายหุ้นของบริษัทย่อยดังกล่าวในปีงบประมาณ 2553 และเป็นเอกชนทั้งหมดภายในปี 2560 ซึ่งปัจจุบันการแปรรูปบริษัทย่อย 4 บริษัทดังกล่าวได้เลื่อนออกไป เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับโครงสร้างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงการยุบ การควบรวม การแปรรูป เพื่อลดการสนับสนุนจากภาครัฐและปรับปรุงฐานะการคลังให้ดีขึ้นกล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งได้แก่ 1) JBIC (ส่วนงาน EXIM Bank) 2) บรรษัทเงินทุนเพื่อลูกค้าขนาดย่อม (National Life Finance Corporation) 3) บรรษัทเงินทุนเพื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม (Japan Finance Corporation for Small and Medium Enterprises) 4) และบรรษัทเงินทุนเพื่อการเกษตร ป่าไม้และประมง (Agriculture, Forestry, and Fisheries Finance Corporation) ได้ควบรวมกันและเป็นสถาบันการเงินของรัฐแห่งใหม่ชื่อ Japan Finance Corporation (JFC) โดยเริ่มดำเนินการแล้วนับตั้งแต่ 1 ต.ค. 51 ที่ผ่านมา และบรรษัทเงินทุนเพื่อพัฒนาเกาะ Okinawa (Okinawa Development Finance Corporation) จะต้องควบรวมกับ 4 สถาบันการเงินที่กล่าวข้างต้นภายในปีงบประมาณ 2555 และให้แปรรูป DBJ และ Shoko Chukin Bank เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.51 จนเป็นเอกชนสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันแผนการดังกล่าวได้เลื่อนออกไปเช่นกัน

5. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น

5.1 นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 51รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้งบประมาณเพิ่มเติม (Supplementary Budget) เพิ่มจากงบประมาณปกติ ใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบันแล้ว ถึง 3 Phase แล้วได้แก่ 30 ต.ค.51 จำนวน 5 ล้านล้านเยน 19 ธ.ค.51 จำนวน 43 ล้านล้านเยน และ 10 เม.ย. 52 จำนวน 15.4 ล้านล้านเยนทั้งที่ใช้จ่ายโดยรัฐบาลกลางโดยตรง และร่วมกับโครงการของรัฐบาลท้องถิ่น

5.2 แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.52 มีงบประมาณเพิ่มเติมประจำปี 2552 (เพิ่มจากงบประมาณประจำปีปกติ) จำนวนถึง 15.4 ล้านล้านเยน ซึ่งรายจ่ายหลักคือ สนับสนุนภาคการเงิน 2.97 ล้านล้านเยน ปรับโครงสร้างพื้นฐานสังคม 2.58 ล้านล้านเยน สนับสนุนท้องถิ่น 2.38 ล้านล้านเยนและสนับสนุนการเลี้ยงดูบุตรและด้านสุขภาพ 2.20 ล้านล้านเยน โดยมีแหล่งเงินทุนมาจากเงินทุนสำรองฉุกเฉินรวมกับการออกพันธบัตรรัฐบาล

5.3 ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่นที่ผ่านมาสรุปได้ ดังนี้

5.3.1. มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน สร้างระบบการฝึกอบรม การหางานและการทำงานแก่พนักงานประจำและพนักงานชั่วคราว รักษาสภาพการจ้างงาน และเพิ่มโอกาสจ้างงาน ดังนี้

1) จัดสรรเงินงบประมาณสนับสนุนการรักษาสภาพการจ้างงาน เช่นการเพิ่มเงินสนับสนุนให้แก่บริษัทเพื่อไม่ให้เลิกจ้างงาน สำหรับบริษัทขนาดใหญ่มีการเพิ่มยอดเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้ความรู้ และเพิ่มระยะเวลาการให้เงินสนับสนุน

2) สนับสนุนการหางานใหม่และพัฒนาขีดความสามารถ ได้แก่

  • จัดสรรเงินสนับสนุนการหางานและการฝึกอบรมงาน จัดการฝึกอบรมวิชาชีพให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมระบบประกันแรงงาน เช่นประชากรวัยรุ่นและครอบครัวที่มีเพียงแม่และลูก เป็นต้น รวมถึงสนับสนุนการใช้ชีวิตประจำวันระหว่างการฝึกอบรม เช่น การจัดหาที่อยู่อาศัยให้ เป็นต้น โดยหลักสูตรการอบรมพิจารณาจากความต้องการของบริษัทต่างๆ เพื่อให้ได้แรงงานตรงต่อความต้องการของตลาดแรงงาน และจัดสรรเงินสนับสนุนหน่วยงานฝึกอบรมเพื่อคุ้มครองและเพิ่มขีดความสามารถในการรับผู้ฝึกอบรมด้วย
  • สนับสนุนและเสริมความแข็งแกร่งในการพัฒนาความสามารถวิชาชีพให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาส และเพิ่มโครงการความร่วมมือเพื่อฝึกอบรมกับบริษัทเอกชน เป็นต้น
  • สนับสนุนการจ้างงานผู้พิการ โดยการเพิ่มเงินสนับสนุนบริษัทที่ว่าจ้างงานผู้พิการ และการสนับสนุนให้ผู้พิการฝึกงานกับหน่วยงานราชการเพื่อสร้างประสบการณ์การทำงานก่อนการที่จะหางานกับบริษัทเอกชน เป็นต้น
  • เสริมสร้างความแข็งแกร่งของหน่วยงานและระบบการจัดหางาน โดยให้เงินสนับสนุนการว่าจ้างพนักงานนอกเวลาหรือพนักงานชั่วคราว เป็นต้น

3) สร้างการจ้างงาน โดยการเพิ่มเงินทุนให้หน่วยงานที่มีหน้าที่สร้างการจ้างงานฉุกเฉิน และนำเทคโนโลยี่สมัยใหม่ไปเผยแพร่ในต่างประเทศเพื่อให้เกิดการจ้างงาน เป็นต้น

4) คุ้มครองพนักงานชั่วคราวหรือพนักงานนอกเวลา เช่น ให้ความคุ้มครองผู้ที่ถูกยกเลิกสัญญากระทันหัน และควบคุมดูแลให้บริษัทปฎิบัติตามกฎหมายแรงงาน แก้ไขการยกเลิกการรับนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานอย่างกระทันหัน โดยจะมีการเปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ยกเลิกการรับเข้าทำงาน และสนับสนุนการหางานให้แก่นักศึกษาที่ยังไม่มีบริษัทรับเข้าทำงานโดยการสร้างโอกาสให้ร่วมสัมภาษณ์งานกับบริษัทต่างๆ สนับสนุนแรงงานชาวต่างชาติ โดยการเพิ่มบุคลากร เช่น ล่าม ที่ปรึกษา การให้ความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นแก่ชาวญี่ปุ่นและครอบครัว สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศแก่แรงงานต่างชาติและครอบครัวที่ถูกไล่ออกจากงาน

5) สนับสนุนที่อยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแก่แรงงาน เช่นการหาที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ตกงานที่ต้องออกจากหอพักหรือที่อยู่อาศัยของบริษัท และให้คำปรึกษาทางด้านการใช้ชีวิตและให้เงินช่วยเหลือสนับสนุนผู้ตกงาน เป็นต้น

6) ให้เงินช่วยเหลือบริษัทในการจ้างงาน และสนับสนุนการใช้ระบบความร่วมมือในการรักษาสถานะการจ้างงาน เช่นการลดเวลาทำงานและลดค่าจ้างของพนักงานโดยเท่าเทียมกัน

7) เพิ่มโครงการสร้างการจ้างงานในท้องถิ่น

2. มาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทญี่ปุ่นทั้งบริษัทขนาดใหญ่และ SMEs ทั้งที่ประกอบธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่

1) สนับสนุนการเพิ่มทุนของ SMEs โดยการเพิ่มวงเงินประกันฉุกเฉินจำนวน 10 ล้านล้านเยนให้แก่สมาคมประกันสินเชื่อแห่งประเทศญี่ปุ่น รวมถึงรับการประกันสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงและปรับปรุงระบบการประกันสินเชื่อ เช่น ยกเว้นการยื่นหลักทรัพย์ประกัน เป็นต้น

2) เพิ่มเงินทุนจำนวน 3 ล้านล้านเยนแก่ Japan Finance Corporation (JCF) สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (เกิดจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งรวมกันได้แก่ (1) JBIC ซึ่งเป็น EXIM Bank ญี่ปุ่น (2) บรรษัทเงินทุนเพื่อลูกค้าขนาดย่อม(National Life Finance Corporation) (3) บรรษัทเงินทุนเพื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม (Japan Finance Corporation for Small and Medium Enterprises) (4) บรรษัทเงินทุนเพื่อการเกษตร ป่าไม้และประมง (Agriculture, Forestry, and Fisheries Finance Corporation) เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจที่รัฐบาลต้องการสนับสนุนที่เกี่ยวข้องดังกล่าว

3) สนับสนุนการเพิ่มทุนของบริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยอัดฉีดเงินผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ได้แก่ธนาคารเพื่อการพัฒนาญี่ปุ่น Development Bank of Japan: DBJ และ Shoko Chukin Bank เพื่อสามารถให้สินเชื่อระยะยาวและรักษาสภาพคล่องของบริษัทรายใหญ่จำนวน 8 ล้านล้านเยน รวมทั้งได้มีการแก้ไขกฎหมาย Law on Special Measures for Industrial Revitalisation ให้บริษัทญี่ปุ่นที่มีพนักงาน 5,000 คนหรือมากกว่า ยื่นความจำนงค์ขอใช้เงินงบประมาณเข้าช่วยเพิ่มทุนบริษัทเอกชน โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ (1) บริษัทมียอดขายลดลงร้อยละ 20 หรือมากกว่าในรอบไตรมาส (2) หรือยอดขายลดลงร้อยละ 15 หรือมากกว่าในรอบครึ่งปี อันเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินโลก (3) บริษัทที่มีคุณสมบัติตามข้อ (1) จะต้องเสนอแผนฟื้นฟูกิจการ 3 ปี เพื่อเพิ่มรายได้ (4) หากมีคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว สามารถขอใช้เงินกู้รัฐบาลผ่าน DBJ และหากบริษัทดังกล่าวล้มละลาย รัฐบาลจะเข้าชดเชยการขาดทุนแก่ DBJ ร้อยละ 80 โดยได้เตรียมงบประมาณ 1.6 ล้านล้านเยนหรือ 16.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าชดเชยการขาดทุนดังกล่าวไว้แล้ว

โดยเมื่อวันที่ 6 เม.ย.52 กระทรวงการคลังประเทศญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่าตัวเลขเงินกู้ฉุกเฉินดอกเบี้ยต่ำเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่โดยผ่าน DBJ และ Shoko Chukin Bank ณ สิ้นเดือน มี.ค.52 ว่า มีผู้ขอรับเงินกู้ 577 ราย มีจำนวน 1.13 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นถึง 7 แสนล้านเยน เทียบกับเดือน ก.พ.52

4) รัฐบาลให้ DBJ และ Shoko Chukin Bank เข้าซื้อตราสารทางการเงิน (Commercial Paper) ของบริษัทต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง โดยช่วงสิ้นเดือน มี.ค.52 DBJ มียอดการเข้าซื้อ 36 ราย จำนวนวงเงิน 2.15 แสนล้านเยน และ Shoko Chukin Bank มียอดการเข้าซื้อ 5,605 ราย จำนวนวงเงิน 3.125 แสนล้านเยน

5) จัดสรรเงินเพิ่มทุนให้แก่บริษัทญี่ปุ่นในต่างประเทศ โดยผ่าน JBIC เป็นเครื่องมือนอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้เงินกู้ช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินในประเทศกำลังพัฒนา ผ่านทาง JBIC มีวงเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทลูกหรือสาขาของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศนั้นๆ โดยการปล่อยเงินกู้เพื่อให้บริษัทญี่ปุ่นนำไปชำระค่าส่งสินค้า และออกใบรับรองสินเชื่อให้แก่บริษัทด้วย

ซึ่งกระทรวงการคลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า JBIC ได้ให้เงินกู้แก่บริษัทญี่ปุ่นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วช่วง มี.ค.- 6 เม.ย.52 โดยมีจำนวนบริษัทญี่ปุ่นขอรับเงินกู้ก้อนนี้ถึง 20 ราย จำนวน 4.558 แสนล้านเยน และในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีจำนวน 30 ราย เท่ากับ 1.21 แสนล้านเยนแล้ว ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนเศษเท่านั้น แสดงให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้เงินทุนของบริษัทญี่ปุ่น

6) แก้กฎระเบียบเพื่อขยายกรอบการดำเนินงานระบบประกันการนำเข้าและการส่งออกของ JBIC ให้ครอบคลุมถึงสาขาและบริษัทลูกญี่ปุ่นในต่างประเทศ ที่หากไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากการส่งออกจากลูกค้าได้ เนื่องจากประเทศของลูกค้าประสบปัญหาการเมืองหรือปิดกิจการ โดยรัฐบาลจะชดเชยการขาดทุนให้ จากเดิมอนุญาตให้เฉพาะบริษัทแม่ในญี่ปุ่นเท่านั้น

7) รัฐบาลซื้อหุ้นบุริมสิทธิ์และ Exchange-Traded Fund (ETF) ของเอกชน จากตลาดการเงินโดยตรง

8) ด้านธนาคารกลาง Bank of Japan (BOJ) ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับรัฐบาลเพื่อดูแลและรักษาเสถียรภาพของตลาดการเงินและสนับสนุนมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลทางด้านการเงินอย่างเต็มที่

BOJ ได้ทำหน้าที่เป็นธนาคารพาณิชย์ชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการที่ Extremely Unusual ของธนาคารกลาง จัดสรรเงินจำนวน 1.22 ล้านล้านเยนหรือ 13 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่สถาบันการเงินในการปล่อยกู้แก่ภาคเอกชน

นอกจากนี้ BOJ รับหุ้นกู้ หรือตราสารของบริษัทเอกชน หรือตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นหลักประกัน ในการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์ โดยไม่มีการจำกัดวงเงิน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 หรือเท่ากับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานระยะสั้นของ BOJ แต่หากเป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยจะมีสัดส่วนที่แพงขึ้น เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์จะสามารถปล่อยเงินกู้แก่ภาคธุรกิจได้มากขึ้น

3. มาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นตลาด Domestic ที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยความร่วมมือของคนในท้องถิ่นเป็นหลักในการส่งเสริม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ซึ่งมีจุดเด่นคือ การคมนาคมสะดวกนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้เอง ระบบห้องน้ำสะอาด มีเพียงพอตามสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่ง ปลอดภัย โดยมีจุดขายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สำคัญ พิพิธภัณฑ์รวมทั้งมีการจัดเทศกาลหรือดอกไม้ที่มีอยู่หลากหลายในฤดูต่างๆ ที่ท้องถิ่นร่วมมือกันจัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว นโยบายการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นได้แก่

1) สนับสนุนการจัดสร้างสถานที่ท่องเที่ยวให้น่าสนใจเพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวอยู่มากกว่า 2 คืน 3 วัน และให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ โดยความร่วมมือขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น องค์กรเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และองค์กรเกษตรป่าไม้และประมง

2) สร้างระบบฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยว

3) เพิ่มความสะดวกของนักท่องเที่ยวโดยมีบัตรรถไฟราคาถูกระหว่างประเทศ โดยมีเป้าให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 ล้านคนภายในปี 2553 ( Visit Japan Upgrade Project) รวมทั้งสนับสนุนนักท่องเที่ยวจากประเทศกำลังพัฒนาและส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติที่ญี่ปุ่นมากขึ้น

4) จัดสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้มีการลาพักผ่อนง่ายขึ้นและเผยแพร่สินค้าท่องเที่ยวแบบใหม่ จัดทำคู่มือเกี่ยวกับการท่องเที่ยว

5) ลดค่าทางด่วนเพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ

1) ช่วยเหลือภาคครัวเรือน แจกเงินประชาชนทุกคนๆละ 12,000 เยน ส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปหรือเด็กอายุต่ำกว่า18 ปี จะได้รับ 20,000 เยน ครอบครัวที่มีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไประหว่างอายุ 3-5 ขวบได้รับเงินช่วยเหลือ 36,000 เยน เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้งคนต่างชาติทุกคนที่จดทะเบียนต่อเขตในญี่ปุ่นก่อน กพ.51 โดยเขตจะส่งหนังสือวิธีการรับเงินให้ตามที่อยู่ที่ระบุ

2) ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 18 เป็นระยะเวลา 2 ปี

3) พัฒนาโครงการในท้องถิ่น อุดหนุนเงินแก่เทศบาลต่างๆ ดำเนินโครงการต่างๆ

4) ป้องกันภัยธรรมชาติและการลงทุนในที่อยู่อาศัย เช่น ลดจากภาษีรายได้และภาษีที่อยู่อาศัย

5) ให้สถานที่ราชการต่างๆ นำระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

6) ส่งเสริมสวัสดิการเพื่อดูแลเด็กและผู้สูงอายุมากขึ้น เป็นต้น

6. สรุปและแนวโน้ม

ในปี 2552 นี้ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่นจะยังดำเนินอยู่ต่อไป ยังไม่มีสัญญาณจะกระเตี้องขึ้นหรือเลวร้ายลงไปกว่าเดิม ยังเป็นอาการทรงตัว ถึงแม้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะกระเตื้องขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน แต่ตัวเลขอื่นยังคงส่งสัญญาณในเชิงลบ เช่น การดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง จากการส่งออกที่ลดลง แต่การนำเข้าก็ลดลงเป็นจำนวนมาก เพราะความต้องการนำเข้าIntermediate Goods ลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ลดลง ราคาหลักทรัพย์ถึงแม้กระเตื้องขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของเอกชนก็ลดลง ธุรกิจยังคงล้มละลายมากขึ้น แนวโน้มการว่างงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลง ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจยังคงลดต่ำ และมีสัญญาณภาวะเงินฝืดเข้ามาแทนที่

ทางด้านสถาบันการเงิน หนี้เสียในสถาบันการเงินเพิ่มมากขึ้น ธนาคารขนาดเล็กต้องขอใช้เงินทุนจากรัฐบาลเพิ่มทุน อย่างไรก็ตามธนาคารขนาดใหญ่ถึงแม้จะขาดทุนในปีที่ผ่านมา แต่ยังอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งพอที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ของธนาคารต่างประเทศที่ประสบปัญหาทั้งในญี่ปุ่นและในต่างประเทศ

ทางด้านการคลัง รายได้จากการเก็บภาษีลดลง ในขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นเพราะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจรวมทั้งการใช้เป้าหมายวินัยทางการคลังต้องชะลอออกไป เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ภาครัฐมีบทบาทมากขึ้นในการผลักดันเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตเช่นเดียวกับในหลายประเทศ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้ออกมายอมรับว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับการจัดการหนี้เสียและฟื้นฟูฐานะการเงินของสถาบันการเงินในสหรัฐฯและยุโรป และความหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศใช้ต่อเนื่องมาแล้ว 3 Phase จะได้ผลช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจมีโอกาสทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นได้

References:-

1. แผนกระตุ้นเศรษกิจ Cabinet Office ญี่ปุ่น - www. cb.go.jp

2. กระทรวงการคลังญี่ปุ่น - www.mof.go.jp

3. รายงาน Recent Economic and Financial Development Report, กระทรวงการคลังญี่ปุ่น ฉบับ April 2009

4. รายงาน Financial System Report, Bank of Japan, March 2009

โดย สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลังประจำ กรุงโตเกียว

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ