รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 19, 2009 10:07 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 19 พ.ย. 2552

Summary:

1. รัฐบาลเตรียมเปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ

2. ราคาสินค้าปีหน้าเตรียมขยับ

3. ธนาคารกลางสหรัฐพร้อมหนุนค่าเงินแข็ง

Highlight:
1. รัฐบาลเตรียมเปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ
  • รัฐบาลเตรียมเปิดโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้ประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ ในวันที่ 19 พฤศจิกายน นี้ โดยรัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าโครงการตั้งแต่วันที่ 1 — 30 ธันวาคม 2552 ที่ธนาคารออมสิน 600 สาขา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 900 สาขาทั่วประเทศ
  • สศค. วิเคราะห์ว่า ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. พร้อมรับโอนหนี้นอกระบบโดยกำหนดให้กู้รายละ 2 แสนบาท อัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 12 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 8 ปี การกู้ครั้งละไม่เกิน 1 แสนบาท ใช้บุคคลค้ำประกัน 1 ราย ตั้งแต่ 1-2 แสนบาทใช้บุคคลค้ำประกัน 2 ราย โดยกำหนดเงื่อนไขว่าผู้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเข้าโครงการฝึกอบรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และโครงการฟื้นฟูอาชีพ เพื่อไม่ให้กลับสู่วงจรการเป็นหนี้นอกระบบอีก ทั้งนี้ รัฐบาลจะดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 53 หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลโครงการ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการแป็นหลักล้านราย
2. ราคาสินค้าปีหน้าเตรียมขยับ
  • อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงแนวทางการดูแลราคาสินค้าปี 53 ว่า การพิจารณาราคาสินค้าจะยึดหลักความเป็นธรรม และสมเหตุสมผล หากสินค้าใดที่มีต้นทุนการผลิต สูงขึ้นจริงก็ส่งเรื่องเข้ามาให้กรมพิจารณาปรับขึ้นราคาสินค้าได้ โดยจะมีการวิเคราะห์ต้นทุนของการปรับขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน อย่างไรก็ตาม หากราคาสินค้ามีแนวโน้มลดลง ผู้ประกอบการก็ต้องปรับราคาลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรม สำหรับปีนี้มีสินค้าหลายรายการทำเรื่องขอปรับขึ้นราคา เช่น สายไฟฟ้า แบตเตอรี่ แต่กรมยังไม่อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาไปจนถึงสิ้นปี เพื่อบรรเทาค่าครองชีพ ให้ประชาชน
  • สศค. วิเคราะห์ว่า ราคาสินค้าในปี 53 มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ หากได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 1)การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีความต่อเนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ในการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็จะปรับตัวขึ้นตาม 2)ต้นทุนการผลิต เช่น วัตถุดิบ และน้ำมันดิบที่ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 53 จะอยู่ในช่วง 75-85 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล สูงขึ้นจากปี 52 ที่ 61.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหากราคาสินค้ามีการปรับตัวขึ้นมากจริง รัฐบาลสามารถออกมาตรการเพื่อบรรเทาค่าครองชีพได้ดังเช่นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ สศค.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 53 จะอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ต่อปี
3. ธนาคารกลางสหรัฐพร้อมหนุนค่าเงินแข็ง
  • ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า กำลังจับตาความเคลื่อนไหวของมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างใกล้ชิดและ พร้อมใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน ภายหลังจากที่พบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จนทำให้หลายประเทศรวมถึงจีนตำหนิท่าทีที่นิ่งเฉยของสหรัฐ
  • ทั้งนี้ หลังจากที่ผู้ว่าการฯยืนยันนโยบายค่าเงิน ส่งผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเอเชียเริ่มมีเสถียรภาพ โดยค่าเงินเหรียญสหรัฐต่อเงินเยนปรับขึ้นมาอยู่ที่ 89.06 เยน ขณะที่เงินเหรียญสหรัฐต่อยูโรอยู่ที่ 1.4969 เหรียญสหรัฐ
  • สศค. วิเคราะห์ว่า สศค. วิเคราะห์ว่า ค่าเงินดอลลาสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยที่อัตราค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.12 ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 52 เนื่องมาจากการเทขายเงินสกุลดอลลาร์เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและเพื่อป้องกันความเสี่ยง การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น สืบเนื่องมาจากการนำเข้าสินค้าพลังงานที่แพงขึ้น เงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐหดตัวลดลงที่ร้อยละ -1.3 ต่อปี ในเดือนตุลาคม 52 ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้นตามระดับราคา อันจะส่งผลอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อนโยบายค่าเงินสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพด้านราคาและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติ

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ