ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป มีนาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 9, 2010 12:21 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ (มีนาคม 2553)

บทสรุป

ภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ประจำเดือนมีนาคม 2010 พบว่าเสถียรภาพภายใน (internal stability) ฟื้นตัวต่อเนื่องในลักษณะที่เปราะบางโดยเศรษฐกิจไตรมาสที่ 4 ขยายตัวค่อนข้างต่ำเพียงร้อยละ 0.1 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.4 โดยเฉพาะเศรษฐกิจของเยอรมันที่ไม่มีการขยายตัวในไตรมาสที่ 4 ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคมกระเตื้องขึ้นร้อยละ 1.7 หลังจากหดตัวลงในเดือนธันวาคม รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนมีนาคมฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับเดียวกันกับเมื่อเดือนมิถุนายน 2008 โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 0.9 ถือเป็นเดือนที่ 4 ที่อัตราเงินเฟ้อเป็นบวกหลังจากติดลบติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้า อัตราการว่างงานเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.1 จุดมาอยู่ที่ร้อยละ 10.0 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 15.75 ล้านคน แต่การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานมีทิศทางที่ชะลอลงต่ำสุดในรอบ 14 เดือน สำหรับภาคการเงินในเดือนกุมภาพันธ์ ธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) ไว้ที่ระดับร้อยละ 1.0 เป็นเดือนที่ 11 ส่งผลดีต่อการรักษาอัตราดอกเบี้ยโดยรวมให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปโดยอัตราดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาวในเดือนนี้ปรับตัวลดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนที่แล้วสะท้อนถึงสภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังคงมีอยู่สูง กระนั้นก็ดี ผลของนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำยังไม่สามารถกระตุ้นการเร่งปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบได้โดยที่ปริมาณเงินและสินเชื่อในเดือนกุมภาพันธ์ต่างก็หดตัวลงร้อยละ 0.4 ตามลำดับ สะท้อนถึงความต้องการสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจที่ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมทั้งความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน สำหรับเสถียรภาพภายนอก (external stability) ในเดือนมกราคมดุลบัญชีเดินสะพัดของ Euro area ขาดดุล 8.1 พันล้านยูโร สูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเนื่องจากมีการขาดดุลทั้งดุลการค้า ดุลรายได้ และดุลเงินโอน ขณะที่กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิมียอดไหลเข้าสุทธิเล็กน้อย 5.6 พันล้านยูโร สำหรับค่าเงินยูโรในเดือนมีนาคมยังคงอ่อนค่ากับเงินทุกสกุลเป็นเดือนที่ 4 ยกเว้นแข็งค่ากับปอนด์โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาการหาข้อสรุปการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกรีซซึ่งกว่าจะได้ข้อสรุปก็ล่วงเลยมาถึงช่วงปลายเดือน

GDP Q4 ขยายตัว +0.1% แต่หดตัว -2.1% เมื่อเทียบกับ Q4 ของปีที่แล้ว

ประมาณการเบื้องต้น (First estimates) ของผลผลิตมวลรวมภายในของสหภาพยุโรป 16 ประเทศ (Euro area GDP) ประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2009 พบว่า GDP ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสที่ 3 (q-on-q) (ขยายตัวเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน หลังจากติดลบติดต่อกัน 5 ไตรมาสก่อนหน้า) ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (y-on-y) GDP ขยายตัวติดลบร้อยละ 2.1 (ติดลบเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน แต่อัตราการติดลบชะลอลงจาก 3 ไตรมาสก่อนหน้า)

การขยายตัวของเศรษฐกิจทางด้านรายจ่าย (Expenditure side) มีการปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการบริโภคและการส่งออก ดังนี้

  • การบริโภคภาคเอกชน (Household consumption) ขยายตัวร้อยละ 0.0 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, -0.2%) แต่หดตัวร้อยละ 0.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, -1.1%) (มีสัดส่วนร้อยละ 57.7 ของ GDP)
  • การใช้จ่ายภาครัฐ (Government consumption) หดตัวร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +0.8%) และขยายตัวร้อยละ 1.8 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, +2.5%) (มีสัดส่วนร้อยละ 22.0 ของ GDP)
  • การลงทุน (Gross fixed capital formation) หดตัวร้อยละ 0.8 จากไตรมาสที่แล้ว (Q3, -0.9%) และหดตัวลงถึงร้อยละ 8.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, -11.6%) (มีสัดส่วน ร้อยละ 19.3 ของ GDP)
  • การส่งออก (Exports) ขยายตัวร้อยละ 1.7 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +2.9%) แต่ติดลบร้อยละ 5.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, -13.5%) (มีสัดส่วนร้อยละ 37.1 ของ GDP) ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 0.9 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +2.8%) แต่หดตัวร้อยละ 6.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, -12.3%) (มีสัดส่วนร้อยละ 35.3 ของ GDP)

การขยายตัวของเศรษฐกิจทางด้านอุปทานหรือการผลิต (Gross value added) ส่วนใหญ่มีการปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะภาคการเกษตรและภาคการผลิต แต่ภาคก่อสร้างและภาคการค้าหดตัวลง ดังนี้

  • ภาคการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.2 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +0.5%) และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วขยายตัวร้อยละ 0.8 (Q3, +0.1%) (มีสัดส่วนร้อยละ 1.4 ของ GDP)
  • ภาคอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และพลังงาน ขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 0.3 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +2.3%) อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วยังคงติดลบอยู่ร้อยละ 7.5 (Q3, -13.6%) (มีสัดส่วนร้อยละ 16.1 ของ GDP)
  • ภาคการก่อสร้าง ยังคงขยายตัวติดลบร้อยละ 1.1 จากไตรมาสก่อนหน้า นับเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกันที่ขยายตัวติดลบ (Q3, -1.0%) และติดลบร้อยละ 3.7 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (Q3, -4.4%) (มีสัดส่วนร้อยละ 5.6 ของ GDP)
  • ภาคการค้า การบริการ ขนส่งและสื่อสาร ในไตรมาสนี้กลับหดตัวลงอีกคร้งร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากที่ขยายตัวเป็นครั้งแรกในไตรมาสที่แล้ว (Q3, +0.2%) อย่างไรก็ดี หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วยังคงหดตัวอยู่ร้อยละ 3.0 (Q3, -4.8%) (มีสัดส่วนร้อยละ 18.6 ของ GDP)
  • ภาคบริการทางการเงิน อสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าสินทรัพย์ ขยายตัวร้อยละ 0.0 จากไตรมาสที่แล้ว (Q3, -0.2%) หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วยังคงติดลบอยู่ร้อยละ 1.0 (Q3, -1.6%) (มีสัดส่วนร้อยละ 26.4 ของ GDP)
  • ภาคการบริการสาธารณะ การศึกษา สุขภาพ และบริการอื่น ในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อนหน้า (Q3, +0.2%) และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วขยายตัวร้อยละ 1.1 (Q3, +1.0%) (มีสัดส่วนร้อยละ 21.9 ของ GDP)

ทั้งนี้ เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ที่สุดอย่างเยอรมันกลับสะดุดลงโดยไม่มีการขยายตัวจากไตรมาสที่แล้วซึ่งเหนือความคาดหมาย ขณะที่ฝรั่งเศสสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันโดยขยายตัวร้อยละ 0.6 ขณะที่ประเทศอิตาลีเศรษฐกิจกลับหดตัวอีกครั้งร้อยละ 0.2 หลังจากที่เพิ่งขยายตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกเมื่อไตรมาสที่แล้ว ส่วนเศรษฐกิจของประเทศสเปนยังคงหดตัวต่อเนื่องอีกร้อยละ 0.1 จึงส่งผลให้โดยรวมแล้วเศรษฐกิจของ Euro area ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสที่แล้ว อนึ่ง เมื่อเดือนตุลาคม IMF ประมาณการว่าในปี 2009 เศรษฐกิจของ Euro area 16 ประเทศ จะขยายตัวติดลบร้อยละ 4.2 และจะฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 0.3 ในปี 2010 โดยเยอรมัน อิตาลี สเปน และฝรั่งเศส จะติดลบร้อยละ 5.3 5.1 3.8 และ 2.4 ตามลำดับ ดีขึ้นกว่าการประมาณการเมื่อเดือนกรกฎาคม

ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม: เดือนมกราคมกระเตื้องขึ้น 1.7% ขณะที่ความเชื่อมั่นเดือนกุมภาพันธ์ชะลอตัวเป็นครั้งแรกใน 11 เดือน

ดัชนีชี้วัดผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production Index: IPI) ที่ปรับตามฤดูกาลแล้วประจำเดือนมกราคมของกลุ่ม EU16 อยู่ที่ระดับ 93.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 1.7 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ การที่ดัชนีในเดือนนี้เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาจากการขยายตัวที่แข็งแกร่งของการผลิตหมวดพลังงาน หมวดสินค้าบริโภคคงทน และหมวดสินค้าขั้นกลาง โดยดัชนีการผลิตของประเทศเยอรมันขยายตัวถึงร้อยละ 1.6 ฝรั่งเศสขยายตัวร้อยละ 1.5 อิตาลีขยายตัวร้อยละ 2.6 ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสเปนกลับหดตัวลงร้อยละ 1.1 ซึ่งการที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศขนาดใหญ่จะช่วยเกื้อหนุนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2010

ขณะที่ดัชนีชี้วัดทางด้านอุปสงค์ของกลุ่ม EU16 ในเดือนมีนาคมกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากชะลอตัวเล็กน้อยในเดือนที่แล้ว โดยดัชนีผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (Economic Sentiment Index: ESI) อยู่ที่ระดับ 97.7 เพิ่มขึ้น 1.9 จุดจากเดือนที่แล้ว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นฟื้นตัวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับเดือนมิถุนายน 2008

อัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงเหลือร้อยละ 0.9 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4

ดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของพื้นที่ยุโรป (Euro Area: 16 ประเทศ) ประจำเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 (เดือนที่แล้ว +1.0%) ถือเป็นเดือนที่ 4 ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็นบวกหลังจากที่ติดลบติดต่อกัน 5 เดือนก่อนหน้านั้น โดยหมวดราคาสินค้าที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับราคาเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วหลักๆ มาจากหมวดคมนาคมขนส่ง (+4.6%) หมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ (+4.6%) และหมวดสินค้าและบริการเบ็ดเตล็ด (+1.8%) ขณะที่หมวดรายจ่ายที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของเงินเฟ้อมาจากหมวดอาหาร (-1.1%) หมวดสื่อสารโทรคมนาคม (-0.6%) และหมวดวัฒนธรรมและสันธนาการ (-0.3%) สำหรับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุด 3 อันดับแรกในเดือนนี้ ได้แก่ Greece, Cyprus และ Luxemburg ที่มีอัตราเงินเฟ้อ +2.9%, +2.8%, และ +2.3% ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำสุด ได้แก่ Ireland, Slovakia และ Portugal ที่อัตราเงินเฟ้อ -2.4%, -0.2% และ +0.2 ตามลำดับ

ในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศสหภาพยุโรทั้งหมด 27 ประเทศ (EU 27) ก็ชะลอลงจากเดือนที่แล้วเช่นกันโดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.4 (เดือนที่แล้ว +1.7%) โดยประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในกลุ่ม EU27 ยังคงเป็นประเทศ Hungary, Romania และ UK ที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ +5.6%, +4.5% และ +3.5% ตามลำดับ

อัตราการว่างงาน : เดือนกุมภาพันธ์ขึ้นแตะระดับร้อยละ 10.0 สูงสุดในรอบ 11 ปี

ยอดผู้ว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วของ Euro area 16 ประเทศ ณ เดือนกุมภาพันธ์มีจำนวน 15.749 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 61,000 คนจากเดือนที่แล้ว) และเพิ่มขึ้น 1.84 ล้านคนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการว่างงานในเดือนนี้ขยับขึ้นเป็นร้อยละ 10.0 จากร้อยละ 9.9 ในเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1998 อย่างไรก็ดี อัตราการเพิ่มของจำนวนผู้ว่างงานมีลักษณะที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบ 14 เดือน โดยประเทศสมาชิก Euro area ที่มีอัตราการว่างงานสูงสุด ได้แก่ Latvia และ Spain ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 21.7 และ 19.0 ตามลำดับ ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำสุด ได้แก่ the Netherlands และ Austria ที่มีอัตราการว่างงานร้อยละ 4.0 และ 5.0 ตามลำดับ

ขณะที่ยอดผู้ว่างงานของ EU 27 ประเทศ ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 23.019 ล้านคน เพิ่มขึ้น 131,000 คนจากเดือนที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 3.14 ล้านคนจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดยอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 9.6 จากร้อยละ 9.5 ในเดือนที่แล้ว

อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน

ECB คงอัตราดอกเบี้ยเป็นเดือนที่ 11 ขณะที่ปริมาณเงินและสินเชื่อยังคงหดตัว

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม คณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป มีมติคงอัตราดอกเบี้ย Refinancing Operations (MRO) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ไว้ตามเดิมที่ระดับร้อยละ 1.0 นับเป็นเดือนที่ 11 ที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับดังกล่าว โดย ECB ได้ให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสถานการณ์เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ทยอยออกมาหลังจากการประชุมครั้งก่อน โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป เศรษฐกิจของ Euro area ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ แม้จะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนอยู่ก็ตาม ขณะที่ผลการประเมินระดับสภาพคล่องของระบบการเงินไม่พบว่าจะเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลาง ซึ่งคณะกรรมการเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางถึงยาวจะอยู่ภายในกรอบอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายร้อยละ 2.0 และส่งผลดีต่อการรักษากำลังซื้อที่แท้จริงของประชาชน โดยการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 8 เมษายน

ในเดือนกุมภาพันธ์สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของ Euro Area หดตัวลงอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยในเดือนที่แล้ว นับจากที่สภาพคล่องเริ่มชะลอลงในดือนธันวาคม 2007 เป็นต้นมา โดยยอดคงค้างปริมาณเงินตามความหมายกว้าง หรือ M3 อยู่ที่ระดับ 9.30 ล้านล้านยูโร ลดลงร้อยละ 0.4 จากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว (เดือนที่แล้ว +0.1%) ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อที่สถาบันการเงิน (MFI) ให้กู้กับภาคเอกชน (loan to private sector) มียอดคงค้าง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 10.74 ล้านล้านยูโร เพิ่มขึ้น 2 พันล้านยูโร โดยยอดคงค้างสินเชื่อหดตัวลงจากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วร้อยละ 0.4 (เดือนมกราคม -0.6%) ถือเป็นเดือนที่ 6 ที่ยอดคงค้างสินเชื่อขยายตัวติดลบ โดยในปี 1983 เป็นครั้งสุดท้ายที่ยอดคงค้างสินเชื่อมีอัตราการเปลี่ยนแปลงติดลบ

สำหรับค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น (Money market interest rates) ในเดือนมีนาคมอ่อนตัวลงเล็กน้อยแต่ก็ยังทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว โดยค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปีลดลงเล็กน้อยระหว่าง 1 — 2 basis points ขณะที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวอายุ 5 ปีและ 10 ปีลดลง 14 และ 12 basis points ตามลำดับ โดยโครงสร้างอัตราผลตอบแทนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปีอยู่ต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีที่แล้วระหว่าง 70 — 99 basis points ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาว 5 ปีและ 10 ปีต่ำกว่าปีที่แล้ว 41 และ 70 basis points ตามลำดับ

อัตราแลกเปลี่ยน : เงินยูโรอ่อนค่ากับทุกสกุลเป็นเดือนที่ 4 แต่แข็งค่ากับเงินปอนด์

ค่าเฉลี่ยเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนมีนาคมอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 หลังจากที่แข็งค่าตลอดช่วง 10 เดือนก่อนหน้านั้น โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 1.3525 $/ยูโร ใกล้เคียงกับระดับปิดต่ำสุดของปลายเดือนที่แล้วจากนั้นเงินยูโรก็เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ จนสามารถขึ้นมาเคลื่อนไหวใกล้แตะระดับ 1.38 $/ยูโร ในช่วงกลางเดือนเมื่อความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการคลังของ Eurozone เริ่มผ่อนคลายลงบ้างเมื่อมีแนวโน้มว่าสหภาพยุโรปจะให้ความช่วยเหลือรับซื้อพันธบัตรของรัฐบาลกรีซหากตลาดไม่ยอมรับ อย่างไรก็ดี เงินยูโรไม่สามารถรักษาระดับไว้ได้โดยในช่วงครึ่งหลังของเดือนก็เริ่มอ่อนค่าลงอีกครั้งจนทำระดับปิดต่ำสุดที่ระดับ 1.338 $/ยูโร ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับจากเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้วหลังจากการหารือเรื่องความช่วยเหลือประเทศกรีซเริ่มไม่ชัดเจนเมื่อรัฐบาลเยอรมันส่งสัญญาณว่ากรีซควรขอความช่วยเหลือจาก IMF แทน กระนั้นก็ดีเงินยูโรสามารถฟื้นตัวในช่วงท้ายเดือนขึ้นมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.3479 $/ยูโร เมื่อมีเยอรมันและฝรั่งเศสสามารถบรรลุข้อตกลงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซโดยนำ IMF เข้ามาร่วมในโครงการให้ความช่วยเหลือทั้งในแง่เงินกู้และความช่วยเหลือทางวิชาการโดยเงินยูโรปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 1.3479 $/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 0.9 โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาเงินยูโรอ่อนค่ากับดอลลาร์ สรอ. ถึงร้อยละ 9.3 แต่หากเทียบกับค่าเฉลี่ยของเดือนมีนาคมปีที่แล้วเงินยูโรยังแข็งค่าอยู่ร้อยละ 4.0

เงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นหลังจากอ่อนค่า 2 เดือนติดต่อกัน โดยเงินยูโรปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ระดับ 0.9067 ปอนด์/ยูโร ซึ่งเป็นการแข็งค่าต่อเนื่องจากปลายเดือนที่แล้ว จากนั้นเงินยูโรสามารถเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบระหว่าง 0.90 — 0.91 ปอนด์/ยูโร ในช่วง 2 สัปดาห์แรก เนื่องจากการคลายตัวถึงความกังวลต่อการช่วยเหลือกรีซ ประกอบกับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคมของสหภาพยุโรปออกมาดีกว่าของอังกฤษ ยูโรเริ่มอ่อนค่าลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ 0.89 — 0.90 ปอนด์/ยูโร ในช่วงครึ่งหลังของเดือน และปิดตลาดสูงที่สุดในวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 0.8898 ปอนด์/ยูโร เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในการบรรลุข้อตกลงช่วยเหลือกรีซที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโร โดยค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้แข็งค่าขึ้นร้อยละ 2.9 แต่ยังอ่อนค่าอยู่ร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมปีที่แล้ว

เมื่อเทียบกับเงินเยนแล้วค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงเล็กน้อยและเป็นการอ่อนติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยเงินยูโรมีระดับปิดวันแรกของเดือนที่ระดับ 120.67 เยน/ยูโร ซึ่งใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อปลายเดือนที่แล้ว จากนั้นยูโรก็เคลื่อนไหวขึ้นและลงในกรอบระหว่าง 120 — 125 เยน/ยูโร เกือบตลอดช่วงที่เหลือของเดือน ก่อนที่ยูโรจะแข็งค่าผ่านระดับ 125 เยน/ยูโร ขึ้นมาได้ในช่วงท้ายเดือนและปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 125.93 เยน/ยูโร ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงเล็กน้อยร้อยละ 0.4 และหากเปรียบเทียบกับ 12 เดือนที่แล้ว เงินยูโรอ่อนค่าร้อยละ 3.6

เงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่ากับเงินบาทเป็นเดือนที่ 4 หลังจากที่แข็งค่าตลอด 10 เดือนก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่เงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. โดยเงินยูโรมีระดับปิดตลาดวันแรกของเดือนที่ 44.474 ฿/ยูโร จากนั้นก็สามารถทรงตัวต่ำกว่าระดับ 45 ฿/ยูโร ได้ตลอด 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นเงินยูโรก็อ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงหลังของเดือนโดยลงมาปิดต่ำสุดของเดือนที่ระดับ 43.168 ฿/ยูโร ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับเมื่อเดือนตุลาคม 2008 ก่อนจะกระเตื้องขึ้นมาปิดตลาดวันสุดท้ายของเดือนที่ระดับ 43.598 ฿/ยูโร โดยค่าเฉลี่ยของเงินยูโรในเดือนนี้อ่อนค่าลงร้อยละ 2.8 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเงินยูโรอ่อนค่าร้อยละ 5.5

ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการชำระเงิน

ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ม.ค.ขาดดุล 8.1 พันล้านยูโร ขณะที่กระแสเงินทุนมีการไหลเข้าสุทธิเล็กน้อย

ณ สิ้นเดือนมกราคม Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ปรับตามฤดูกาลแล้ว (seasonally adjusted current account balance) ขาดดุล 8.1 พันล้านยูโร (เดือนที่แล้วเกินดุล 2.3 พันล้านยูโร) โดยในเดือนนี้ Euro area เกินดุลเพียงแค่ดุลบริการ (services) 2.0 พันล้านยูโร แต่มีการขาดดุลการค้า (goods trade) ขาดดุลรายได้ (income) และขาดดุลเงินโอน (current transfer) จำนวน 2.3 1.4 และ 6.5 พันล้านยูโร ตามลำดับ จึงทำให้โดยรวมแล้ว Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลดังกล่าว

โดยยอดสะสม 12 เดือนที่ผ่านมา Euro area มีฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสะสมจำนวน 50.7 พันล้านยูโร (เท่ากับร้อยละ 0.6 ของ Euro GDP) ลดลงจากยอดสะสม 12 เดือนก่อนหน้าที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 144.4 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา Euro area กลับมามีฐานะเกินดุลการค้าสะสม แม้จะเกินดุลบริการลดลงก็ตาม รวมถึงการขาดดุลรายได้และดุลเงินโอนสะสมก็ลดลงจาก 12 เดือนก่อนหน้าเช่นกัน

ทางด้านดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย (financial account) ที่ยังไม่ปรับตามฤดูกาล (non-seasonal adjusted) ประจำเดือนมกราคม พบว่า Euro area มีฐานะบัญชีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 5.6 พันล้านยูโร (เดือนที่แล้วเงินทุนมีฐานะไหลออกสุทธิ 11.3 พันล้านยูโร) เนื่องจากแม้จะมีฐานะเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (portfolio investment) และเงินลงทุนทางตรง (direct investment) ไหลออกสุทธิเล็กน้อย แต่การที่สถาบันการเงินกลับสถานะจากผู้ให้กู้ยืมสุทธิจำนวนมากในเดือนที่แล้วมาเป็นผู้กู้ยืมสุทธิในเดือนนี้จึงทำให้ฐานะโดยรวมสุทธิเป็นบวกดังกล่าว

ขณะที่ยอดสะสมในรอบ 12 เดือน Euro area มีฐานะดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าสุทธิ 50.0 พันล้านยูโร (-71.7% จากปีที่แล้ว) เนื่องจากเงินลงทุนทางตรงสุทธิสะสม (net direct investments) มีการไหลออกน้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 62.2 รวมถึงการที่ Euro area กลับสถานะจากการเป็นผู้กู้ยืมสุทธิในปีที่แล้วมาเป็นผู้ให้กู้ยืมสุทธิในปีนี้ถึง 86.1 พันล้านยูโร ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ฐานะกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของ Euro are ไหลเข้าสุทธิลดลงจากปีที่แล้ว

ประเด็นข่าวสำคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นาย Wolfgang Schauble เสนอแนวคิดจัดตั้ง European Monetary Fund (EMF) เพื่อเป็นกลไกภายในของสหภาพยุโรป (EU) ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิก (bail-out) ที่ประสบปัญ หาวิกฤตเศรษฐกิจโดยไม่ต้องพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินยูโรไว้ในระยะยาว หลังจากที่สหภาพยุโรปประสบปัญหาไม่มีกลไกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศกรีซ แม้แนวคิดจัดตั้ง EMF จะได้รับการขานรับในหลักการจากฝรั่งเศส แต่เนื่องจากจำต้องมีการแก้ไข Maastricht treaty ที่บัญญัติห้ามประเทศสมาชิกให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอื่น (no bail-out clause) ทำให้ฝรั่งเศสไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขสนธิสัญญาในเวลานี้เพราะจากบทเรียนที่ผ่านมาพบว่าการแก้ไขสนธิสัญญากว่าจะได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากสมาชิกทั้ง 27 ประเทศเป็นเรื่องยุ่งยากมากและอาจก่อให้เกิดความแตกแยกทางความเห็นขึ้น นอกจากนี้ข้อเสนอของรัฐมนตรีคลังเยอรมันยังถูกหักล้างโดยนาย Axel Weber ผู้ว่าการธนาคารกลางเยอรมัน (Bundesbank) ที่เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา ประเทศสมาชิกควรดำเนินการตามแผนอย่างเข้มงวดเพื่อให้ฐานะการคลังเป็นไปตามข้อกำหนดของ EU ภายใต้ Stability and Growth Pact มากกว่า (9 มีนาคม 2010)
  • แผนการออกกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมธุรกิจ hedge funds และ private equity funds ของสหภาพยุโรปที่เรียกว่า “Alternative Investment Fund Managers Directive” เริ่มส่อเค้าความยุ่งยาก เมื่อนาง Elena Salgado รัฐมนตรีคลังของสเปนในฐานะประธานรัฐมนตรีคลัง EU ยอมเลื่อนการเจรจาต่อรองเพื่อให้มีการรับรอง directive ดังกล่าวออกไปก่อนหลังจากนาย Gordon Brown นายกรัฐมนตรีของอังกฤษขอให้แขวนร่างดังกล่าวไว้จนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้จะผ่านพ้นไปก่อน ขณะที่นาง Angela Merkel นายกรัฐมนตรีของเยอรมนีเรียกร้องให้นาย Brown ถอนคำคัดค้านดังกล่าวเสียเพื่อให้การพิจารณา directive มีความคืบหน้าและว่าสิ่งที่อังกฤษทำไปก่อนหน้านี้โดยการเก็บภาษีเงินโบนัสจากผู้บริหารสถาบันการเงินเป็นแนวคิดที่ดีเพียงแค่ครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับการออก directive ฉบับนี้ ทั้งนี้ directive จะทำให้อังกฤษเสียประโยชน์เนื่องจากจะมีการควบคุมบรรดาผู้จัดการกองทุนที่จะเข้ามาให้บริการธุรกิจดังกล่าวในสหภาพยุโรปให้ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่จะออกมานี้ เช่น ต้องได้รับการอนุมัติให้ดำเนินธุรกิจได้ การเปิดเผยข้อมูลบางประการที่สำคัญแก่นักลงทุน รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่มีส่วนต่อการกำหนดขนาดของธุรกรรมเมื่อเทียบกับเงินกองทุน เป็นต้น ก่อนหน้านี้ นาย Tim Geithner รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ได้ออกมาโจมตี directive ฉบับนี้โดยเห็นว่าสหภาพยุโรปกำลังกีดกันการให้บริการจากผู้จัดการกองทุนของสหรัฐฯ ในตลาดยุโรป (16 มีนาคม 2010)
  • คณะกรรมการสหภาพยุโรป (European Commission) เตือนประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ 4 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ถึงความเสี่ยงที่จะไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณให้ต่ำกว่าร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปี 2013 ตามแผนที่แต่ละประเทศเสนอมา เนื่องจากเห็นว่าแต่ละประเทศต่างก็ใช้สมมติฐานในการคาดการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างดีกว่าความเป็นจริง รวมถึงมาตรการที่จะดำเนินการก็ยังขาดความชัดเจนที่จะช่วยลดการขาดดุลได้อย่างเป็นรูปธรรม ก่อนหน้านี้ 2 วันที่ประชุมรัฐมนตรีคลังสหภาพยุโรป (Ecofin) ได้ให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งวงเงินเพื่อช่วยเหลือรับซื้อพันธบัตรของรัฐบาลกรีซ (17 มีนาคม 2010)
  • นาย Herman Van Rompuy ประธานคณะกรรมการสหภาพยุโรปแถลงว่าสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกรีซหากรัฐบาลกรีซไม่สามารถกู้ยืมเงินจากตลาดการเงินได้ โดยสมาชิกสหภาพยุโรปพร้อมจะให้เงินกู้ทวิภาคีแก่กรีซจำนวน 2 ใน 3 ขณะที่อีก 1 ใน 3 จะมาจากเงินกู้ของ IMF หลังจากผู้นำเยอรมันและฝรั่งเศสสามารถประนีประนอมโดยฝรั่งเศสยินยอมให้ IMF เข้ามามีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือเงินกู้แก่กรีซด้วยตามข้อเรียกร้องของเยอรมัน (25 มีนาคม 2010)

ที่มา : Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ