(ต่อ3)ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2550 - 2551

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 7, 2007 14:34 —สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

2. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่ปี 2550 - ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ปัจจัยสนับสนุนมีมากกว่าปัจจัยเสี่ยง โดยที่ปัจจัยสนับสนุนนั้น ประกอบด้วย ความแน่นอนทางการเมืองและการจัดการเลือกตั้ง อัตราดอกเบี้ยต่ำ การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและนักธุรกิจที่ดีขึ้น รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลที่จะได้ตามเป้าหมายการเบิกจ่ายร้อยละ 22.5 (เป้าหมายการเบิกจ่ายจำนวน 373,500 ล้านบาท) - ในไตรมาสสุดท้ายการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวใน 2 เดือนสุดท้าย แต่อย่างไรก็ตามการส่งออกที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.7 ในเดือนตุลาคม จะทำให้การส่งออกรวมในไตรมาสสุดท้ายยังขยายตัวได้ในอัตราที่ใกล้เคียงกับในไตรมาสสาม สำหรับการนำเข้าคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตามภาวะการลงทุน โดยภาพรวมจึงคาดว่าอุปสงค์ภายในที่ปรับตัวดีขึ้นจะชดเชยผลกระทบจากการส่งออกชะลอตัวใน 2 เดือนสุดท้ายได้3. คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2550: ขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 - สศช. คาดว่าทั้งปี 2550 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5 จากการขยายตัวร้อยละ 4.5 ใน 3 ไตรมาสแรกและแนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ภายใต้สมมุติฐานกรณีสูงที่ สศช. ได้ประมาณการไว้แล้วในการแถลงข่าวครั้งวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องปัจจัยเศรษฐกิจโลก การเบิกจ่ายของรัฐบาล และการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชน สำหรับราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยนั้นสูงกว่าที่คาดไว้เดิมเล็กน้อย แต่แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อไม่มากนักเนื่องจากโครงสร้างการใช้น้ำมันปรับตัวดีขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้สามารถปรับตัวในช่วงราคาน้ำมันสูงได้ดีขึ้น - เสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีเท่ากับร้อยละ 2.3 อัตราการว่างานเท่ากับร้อยละ 1.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง 14,500 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือประมาณร้อยละ 6.0 ของ GDP4. แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2551 4.1 แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2551: มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 4.5 ชะลอลงจากร้อยละ 4.8 ในปี 2550 เศรษฐกิจโลกในปี 2551 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 4.5 ชะลอลงจากร้อยละ 4.8 ในปี 2550 โดยคาดว่าเศรษฐกิจหลักเช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และจีน จะอยู่ในช่วงของการชะลอตัว เศรษฐกิจและการเงินโลกโดยรวมยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหา Sub-prime ที่จะยังยืดเยื้อในปี 2551 การเปลี่ยนแปลงในค่าเงินสกุลหลัก และปัญหาเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2550 ที่ทำให้การตัดสินใจด้านนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมีความยากลำบากขึ้นรวมทั้งยังมีความเสี่ยงในเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน เศรษฐกิจอเมริกาคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.9 ค่อนข้างทรงตัวจากที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.9 ในปี 2550 แต่ต่ำกว่าศักยภาพการเจริญเติบโตระยะยาวเป็นปีที่ 2 ทำให้ความต้องการนำเข้าของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มลดลงและในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงช่วยสนับสนุนการส่งออก จึงคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ สำหรับเศรษฐกิจกลุ่มยุโรปคาดว่าจะชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.8 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 2.4 ในปี 2551 เนื่องจากการชะลอตัวของความต้องการสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ผลกระทบจากการที่ค่าเงินยูโรที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และผลกระทบจากการปรับตัวของภาคการเงินที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา sub-prime มากกว่าในภูมิภาคอื่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกันเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านการส่งออกภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ และยุโรปในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ เศรษฐกิจกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวได้ดีจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและการค้าภายในภูมิภาคที่จะช่วยชดเชยผลกระทบการชะลอตัวของภาคการส่งออกที่เป็นผลมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนและอินเดียคาดว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย จากร้อยละ 11.5 และ 8.9 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 10.6 และ 8.4ตามลำดับในปี 2551 ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามในการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 และส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียโดยภาพรวมชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2550 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาอาหารส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบจากปัญหา sub-prime ที่ยังยืดเยื้อจะทำให้ธนาคารกลางในประเทศพัฒนาแล้วดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังในปี 2551 และเตรียมพร้อมในด้านสภาพคล่องทางการเงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจหากผลกระทบของความผันผวนของภาคการเงินต่อภาคเศรษฐกิจจริงเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าสหรัฐอเมริกาจะยังดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ส่วนประเทศพัฒนาแล้วในภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่น คาดว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินจนกว่าปัญหาด้านเงินเฟ้อจะมีความชัดเจนและความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหา Sub-prime จะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม ประเทศกำลังพัฒนาหลาย ๆประเทศอาจดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะตึงตัวมากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2550 และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว ความแตกต่างทางด้านอัตราดอกเบี้ย และการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องในปี 2551 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแข็งค่าขึ้น และมีผลต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในการลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสำ หรับประเทศที่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่นอกจากนั้นค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมาคาดว่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางการค้าโลกมากขึ้น โดยคาดว่าอุปสงค์ภายในประเทศของเศรษฐกิจอเมริกาจะอยู่ในภาวะอ่อนตัวและการส่งออกสุทธิเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินค้าในประเทศอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้นและมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก (1) เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ในปี 2551 ยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัญหา sub-prime โดยเฉพาะผลกระทบต่อการลงทุนในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และผลจากการราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงต่อความมั่งคั่งและการบริโภคภาคเอกชน ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการปรับตัวของเศรษฐกิจต่อปัญหา sub-prime ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและราคาที่อยู่อาศัยยังปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ในกรณีที่ไม่มีความเสียหายในภาคการเงินเพิ่มเติม แล้วคาดว่าผลกระทบของปัญหา sub-prime ต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะมีความชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจในปี 2551 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.9 เท่ากับปี 2550 โดยที่การลงทุนและการบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัว อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวจะทำให้การส่งออกสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น และชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศได้บางส่วน และคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มปรับตัวดีโดยลำดับจากขาดดุลร้อยละ 6.2 ของ GDP ในปี 2549 เป็นประมาณร้อยละ 5.5 ในปี 2551 การปรับตัวของราคาในหมวดที่อยู่อาศัยและแนวโน้มการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อซึ่งคาดว่าจะชะลอตัวลง และเอื้ออำนวยต่อการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกรณีที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ (2) กลุ่มประเทศยุโรป (13 ประเทศ) คาดว่าความเสียหายในภาคการเงินอยู่ในขอบเขตจำ กัดในขณะที่ระบบการเงินปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม การขยายตัวในเกณฑ์ต่ำของสหรัฐอเมริกาและการแข็งค่าของค่าเงิน จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มนี้ นอกจากนั้นความเสียหายในภาคการเงินในปี 2550 คาดว่าจะทำให้ระบบสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาคการก่อสร้างและการบริโภค และส่งผลให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยุโรป มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.0 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 1.7 ในปี 2551 ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางมีความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อลดแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อมากขึ้นจนกว่าแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อจะมีความชัดเจนและความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาความเสียหายในภาคการเงินจะผ่อนคลายลง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ใกล้เคียงกับปี 2550 ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะส่งผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.2 ของ GDP ในปี2550 เป็นประมาณร้อยละ 0.4 ในปี 2551 (3) เศรษฐกิจญี่ปุ่น คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกันเนื่องจากการส่งออกซึ่งเป็นสาขาที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมานั้นมีความเสี่ยงมากขึ้นภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ และยุโรปในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ โดยที่การลงทุนในด้านการก่อสร้างทั้งประเภทที่อยู่อาศัยและอาคารประเภทอื่น ๆ ได้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์และมาตรฐานอาคารที่เข้มงวดมากขึ้นนอกจากนี้การฟื้นตัวของภาคธุรกิจเอกชนในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้มีผลในการกระตุ้นการใช้จ่ายและการเพิ่มค่าจ้างแรงงาน จึงทำให้ยังมีปัญหาเรื่องภาวะเงินฝืดแม้ว่าปัญหานี้จะคลี่คลายลงบ้างแล้วก็ตาม จึงคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในช่วงครึ่งแรกของปี สำหรับในปี 2551 นี้คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวประมาณร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 ในปี 2550 (4) เศรษฐกิจจีน ในปี 2551 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้สูงต่อเนื่องร้อยละ 10.6 โดยยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นจากการขยายตัวของการจ้างงานซึ่งส่งผลให้รายได้ปรับสูงขึ้นประกอบกับระบบบริการประกันสังคมที่ดีขึ้น ดุลการค้ามีแนวโน้มเกินดุลลดลง เนื่องจากเลิกการคืนภาษีส่งออก ซึ่งทำให้อัตราภาษีส่งออกที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คาดว่าแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อจะเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดในช่วงที่ผ่านมาอย่างไรก็ดีการคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสภาพอากาศที่อาจส่งผลให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง ประกอบกับมีความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมทางด้านสาธารณูปโภคนอกจากนี้สภาพคล่องส่วนเกินที่อยู่ในระดับสูงและเป็นปัจจัยผลักดันให้ตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวมากในช่วงที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความกังวลว่ากรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจะส่งผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของธนาคารเนื่องจากปัญหาความไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ (5) เศรษฐกิจกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงขึ้นจากปี 2550 ได้แก่ มาเลเซียอินโดนีเซีย และเวียดนาม เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งซึ่งเป็นผลของการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้า การส่งออกจะยังคงขยายตัวได้จากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี ประกอบกับเศรษฐกิจจีนและอินเดียที่ยังคงขยายตัวสูงสามารถรองรับปริมาณการค้าภายในภูมิภาคได้ แต่ส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำ มัน ที่คาดว่าจะเริ่มปรับตัวลดลงเข้าสู่ระดับที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงขยายตัวสูง และอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้โดยภาพรวมดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลน้อยลง 4.2 แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2551: เงื่อนไขเศรษฐกิจภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นแต่มีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประเด็นหลัก - ในปี 2551 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูงกว่าในปี 2550 และมีความสมดุลมากขึ้น จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรัฐบาลภายใต้กรอบนโยบายการคลังขาดดุลที่ขาดดุลสูงกว่าในปี 2550 และความคืบหน้าของการลงทุนรัฐวิสาหกิจในระบบรถไฟขนส่งมวลชน ซึ่งรวมแล้วการเร่งตัวขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศจะสามารถชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออกได้ - ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นทั้งสถานการณ์ด้านการเมือง ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยที่จะมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันได้เกือบตลอดปี ฐานรายได้ของประชาชนปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มทั้งรายได้เกษตรกรที่จะได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรหลักที่สูงขึ้น การปรับเพิ่มเงินเดือนภาคราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลเต็มที่ในปี 2551 และรายได้กลุ่มที่จะได้รับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 1-7 บาทตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นไป แต่สำ หรับผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจเอกชนนั้นจะยังอยู่ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ผลกระทบจากค่าเงินบาทนั้นจะมีน้อยกว่าในปี 2550 เนื่องจากคาดว่าค่าเงินจะแข็งค่าขึ้นอีกไม่มาก - ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปี 2551 สำหรับเศรษฐกิจไทย คือปัญหาราคาน้ำมัน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้เนื่องจากเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ (i) ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและผันผวนได้ง่ายจากผลกระทบด้านการผลิต เนื่องจากพื้นฐานตลาดมีความตึงตัวอยู่แล้ว (ii) ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ(geopolitics) โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน และ (iii)ปัญหาหนี้อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ ที่ยังยืดเยื้อไปในปี 2551 รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องถึงตลาดเงินและตลาดสินค้าของประเทศในเอเชียและยุโรป ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะกระทบทั้งความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ และมีผลกระทบแท้จริงผ่านทางต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและความต้องการสินค้าและบริการที่ชะลอลง ในกรณีที่ความเสี่ยงดังกล่าวสูงกว่าที่คาดไว้ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนจะฟื้นตัวช้า ในขณะที่การส่งออกก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวมาก และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ช้ากว่าในปี 2550 - ในปี 2551 ประสิทธิภาพการใช้พลังงานมีแนวโน้มดีขึ้นและการใช้พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซลก๊าซเอ็นจีวี จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวในภาวะที่ราคาพลังงานสูงได้ดีขึ้นกว่าในอดีต นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้รถยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้รถยนต์ประหยัดพลังงานและรถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะมีแรงกระตุ้นจากมาตรการการลดหย่อนภาษีรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน (ECO Car) และรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่าง ๆ ก็ได้เตรียมกำลังการผลิตและมีความพร้อมในการที่นำรถยนต์ประเภทดังกล่าวออกสู่ตลาด อาทิ บริษัทฮอนด้า ทาทามอร์เตอร์สและฟอร์ดโฟกัส เป็นต้น นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากราคาน้ำมัน 4.2.1 ปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2551 (1) ความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะจากสถานการณ์ด้านการเมืองที่มีความแน่นอนมากขึ้นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะเห็นว่าความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคมและต่อเนื่องในเดือนกันยายน เนื่องจากผู้ประกอบการพิจารณาว่าปัจจัยต่าง ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อาทิอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดต่ำ ลง อัตราแลกเปลี่ยนมีเสถียรภาพมากขึ้น และสถานการณ์ด้านการเมืองที่มีแนวโน้มชัดเจนขึ้นสำหรับผู้บริโภคนั้นในภาพรวมความเชื่อมั่นนับว่าค่อนข้างทรงตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่มุมมองเกี่ยวกับอนาคตเริ่มปรับดีขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมเช่นกัน (2) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2551 ตามเป้าหมายอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 94 และเร่งรัดการดำ เนินโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ในปีงบประมาณ 2551 กรอบวงเงินงบประมาณรัฐบาลมีจำนวน 1,660,000 ล้านบาท(A) เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ2550 ร้อยละ 6.0 โดยเป็นรายจ่ายประจำ 1,209,546.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 รายจ่ายลงทุนจำนวน 404,677.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 โดยกำหนดกรอบการขาดดุลงบประมาณจำนวน 165,000 ล้านบาทสำหรับงบลงทุนรัฐวิสาหกิจนั้นคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบวงเงินเบิกจ่ายการลงทุนจำนวน 289,756 ล้านบาทและรวมกรอบการลงทุนของ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) อีกจำนวน 53,581 ล้านบาท โดยที่ได้กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจร้อยละ 90 ซึ่งการลงทุนสำ คัญที่ต้องเร่งรัด คือ โครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉะบัง การจัดซื้อเครื่องบินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และโครงการสายส่งไฟฟ้าซึ่งรวมกันเป็นมูลค่าการลงทุนประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท (3) อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินในปี 2551 จะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงปัจจุบันและคาดว่าจะยังไม่มีแรงกดดันที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 3.25 อัตราเงินกู้ลูกค้าชั้นดีแบบมีระยะเวลา(MLR) เฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ 5 แห่งเท่ากับร้อยละ 6.99 ลดลงจากร้อยละ 7.63 ณ สิ้นไตรมาสแรกและร้อยละ 7.13 ณ สิ้นไตรมาสที่สอง สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนได้มีการปรับลดลงตามลำดับเป็นเฉลี่ยร้อยละ 2.31 ในเดือนตุลาคม จากร้อยละ 2.38 ณ สิ้นไตรมาสที่สอง และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนลดลงเป็นเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 2.125 และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคมทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงเริ่มติดลบเล็กน้อย และอัตราเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงลดลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้ดีขึ้นโดยเฉพาะเมื่อความเชื่อมั่นของประชาชนปรับตัวดีขึ้น หมายเหตุ (A) รวมรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้อีกจำนวน 45,775.9 ล้านบาท (4) รายได้ที่แท้จริงของประชาชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อจึงทำให้กำลังซื้อที่แท้จริงยังเพิ่มขึ้น จากการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ(B) และค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับกลุ่มลูกจ้างวันละ 1 — 7 บาท จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2551 รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรสำคัญยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นจึงคาดว่าปัจจัยสำคัญทั้ง ความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น รายได้ที่แท้จริงที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะกระตุ้นให้การใช้จ่ายครัวเรือนฟื้นตัวได้ดีขึ้นในปี 2551 หมายเหตุ (B) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่องการปรับเพิ่มค่าตอบแทนราชการอีกประมาณร้อยละ 4 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยได้เตรียมงบประมาณในระยะเวลา 1 ปีไว้จำนวน 23,960 ล้านบาทซึ่งรวมทั้งการปรับเพิ่มเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคคลากรภาคราชการ สำหรับการปรับขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจนั้น คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครส.) มีมติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2550 ให้ขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจไม่เกินร้อยละ 4 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว และประกาศให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม (5) การจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำซึ่งจะสนับสนุนรายได้ของประชาชนการจ้างงานเฉลี่ยในช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2550 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 โดยที่จำนวนการทำงานต่ำระดับต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปี 2549 และมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยเพียงร้อยละ 1.5 และมีอุตสาหกรรมหลายประเภทที่ยังขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ (6) โครงการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้วในปี 2549 และ 2550 ซึ่งคาดว่าจะมีความพร้อมและดำเนินการลงทุนได้ในปี 2551 นั้นมีจำนวนมากโดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี มีกิจการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,126 ราย วงเงินลงทุน 583.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 213.7 โดยมีการกระจายการลงทุนเพิ่มขึ้นในทุกประเภทกิจการ ได้แก่ กลุ่มเคมี กระดาษ และพลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.1 กลุ่มบริการและสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 359.5 กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 95.7 กลุ่มเหมืองแร่ เซรามิกส์ และโลหะขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,431.0 กลุ่มเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 124.7 และอุตสาหกรรมเบาเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.3 ทั้งนี้ประมาณร้อยละ 72 ของเงินวงลงทุนที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมเป็นเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่มีวงเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 78 โครงการ ได้แก่ การผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและการขยายการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่เพื่อส่งออก การผลิตเอทานอล การผลิตปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ การผลิตไฟฟ้า กิจการสำหรับขนถ่ายสินค้าหรับเรือเดินทะเล การผลิตหัวอ่านข้อมูล (Harddisk drive) แผงวงจรไฟฟ้า กิจการโรงแรม และการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น(ยังมีต่อ).../4.2.2 ปัจจัยเสี่ยง/..

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ