สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 21, 2020 11:22 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 14 - 20 สิงหาคม 2563

1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าว กข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้

ชนิดข้าว                               ราคาประกันรายได้        ครัวเรือนละไม่เกิน
                                           (บาท/ตัน)                  (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ                               15,000                    14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่                         14,000                    16
ข้าวเปลือกเจ้า                                  10,000                    30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี                            11,000                    25
ข้าวเปลือกเหนียว                                12,000                    16

กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด

2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563

2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ

2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว

3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้

3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่

3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563

4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร

4.1) กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1

4.2) ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563

1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,481 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,582 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.70

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,196 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 9,119 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,250 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,950 ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 979 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,270 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 1,018 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,414 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.83 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ1,144 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 512 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,831 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,368 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.81 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 463 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,212 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 482 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,874 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.07 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 338 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,738 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 505ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,584 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.79 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 154 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9196 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

2.1 สถานการณ์ข้าวโลก

1) การผลิต

ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนสิงหาคม ผลผลิต 500.049 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 495.731 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87

2) การค้าข้าวโลก

บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลก ปี 2563/64 ณ เดือนสิงหาคม 2563 มีปริมาณผลผลิต 500.049 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 0.87 การใช้ในประเทศ 496.531 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.15 การส่งออก/นำเข้า 44.268 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 4.37 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 185.187 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.94

โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา กายานา อินเดีย แอฟริกาใต้ ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ปากีสถาน ปารากวัย อุรุกวัยและเวียดนาม

สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เบนิน บราซิล เบอร์กินา คาเมรูน เอธิโอเปีย อียู กานา กินี อิหร่าน เคนย่า มาเลเซีย โมแซมบิค ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยเมน ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ จีน และไอเวอรี่โคสต์

ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

ราคาข้าวปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2554 ท่ามกลางอุปทานข้าวในตลาดที่มีจำกัด ขณะที่ยังมีความต้องการข้าวเพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อในต่างประเทศตามสัญญาที่ค้างอยู่ทั้งจากคิวบา และประเทศในแถบแอฟริกา โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ตันละ 480-490 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากตันละ 470 ดอลลาร์สหรัฐฯ

จากการที่ราคาข้าวเวียดนามปรับขึ้นสูงสุดจากในรอบหลายปี ทำให้ในช่วงนี้ยังไม่มีการทำสัญญาขายข้าวล็อตใหม่ เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถจัดหาข้าวได้เพียงพอ ทั้งนี้ การเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวจากฤดูการผลิตฤดูร้อน–ฤดูใบไม้ร่วง (the summer-autumn) ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ประกอบกับผู้ค้าข้าวไม่สามารถซื้อข้าวเปลือกจากกัมพูชาเพื่อนำเข้ามา สีแปรสภาพในเวียดนามได้ เนื่องจากด่านชายแดนยังถูกปิด ซึ่งที่ผ่านมาผู้ค้าข้าวเวียดนามจะซื้อข้าวเปลือกจากฝั่งกัมพูชาประมาณวันละ 1,000 ตัน

กรมศุลกากรเวียดนาม (the Customs Department) รายงานว่า ในเดือนกรกฎาคม 2563 เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 479,633 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยในช่วง 7 เดือนแรก (มกราคม-กรกฎาคม) เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 4 ล้านตัน มูลค่าประมาณ 1.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 และร้อยละ 13.1 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (Ministry of Agriculture and Rural Development; MARD) คาดการณ์ว่า ในปีนี้เวียดนามจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 6.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับจำนวน 6.4 ล้านตัน ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการข้าวในตลาดโลกยังมีอย่างต่อเนื่อง และการแข่งขันในตลาดเอื้อต่อการส่งออกข้าวของเวียดนาม

ที่มา : Oryza

จีน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า เกษตรกรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมกำลังวางแผนปลูกข้าวปลายฤดู (late-season rice) (ระหว่างเดือนสิงหาคม-ธันวาคม) เร็วขึ้น เนื่องจากข้าวต้นฤดู (the early-season varieties) ที่ปลูกไปก่อนหน้าได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ขณะที่เกษตรกรทางภาคเหนือกำลังวางแผนเพาะปลูกเร็วกว่าปกติเพื่อเลี่ยงความเสียหายจากฝนที่ตกหนักและน้ำท่วม โดยคาดว่าจะเกิดฝนตกหนักทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้

ที่ผ่านมา กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉินของจีน (Ministry of Emergency Management) คาดการณ์ว่าพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมทางภาคใต้ของประเทศ จะมีพื้นที่เพาะปลูกเสียหายประมาณ 37 ล้านไร่ และข้าวต้นฤดูที่เพาะปลูกในบางพื้นที่จะไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งข้าวต้นฤดูมีการเพาะปลูกตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม และจะเริ่มเก็บเกี่ยวประมาณช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม

ที่มา : Oryza

ไต้หวัน

รัฐบาลไต้หวันเข้มงวดการนำเข้าข้าวจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจาก พบว่าข้าวที่นำเข้าส่วนหนึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกในไต้หวัน โดยสำนักการเกษตรและอาหาร คณะกรรมการการเกษตรไต้หวัน (Agriculture and Food Agency) สงสัยว่ามีการลักลอบนำพันธุ์ข้าวในไต้หวันไปปลูกในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นส่งกลับมาขายในไต้หวัน ทั้งนี้ ต้นทุนการปลูกข้าวของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่ำกว่าในไต้หวันมาก หากปลูกแล้วนำกลับมาขายในไต้หวันเกรงว่าจะกระทบต่อราคาข้าวในตลาดไต้หวัน คณะกรรมการการเกษตรได้ประกาศร่างระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 และเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องคัดค้านหรือแสดงความเห็นภายใน 60 วัน จากนั้นจึงจะประกาศระเบียบอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2564

นายจวงเหล่าต๋า รองผู้อำนวยการสำนักการเกษตรและอาหาร กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มีการห้ามนำเข้าข้าวพันธุ์ไต้หวันที่ผลิตในต่างประเทศ เนื่องจากข้าวที่ปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีราคาต่ำกว่าในไต้หวันประมาณครึ่งหนึ่ง ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมทางการค้าจึงประกาศห้ามนำเข้าระเบียบดังกล่าว บัญญัติห้ามนำเข้าข้าวพันธุ์ของไต้หวัน ทั้งรูปแบบของข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว หรือแม้แต่ข้าวขาวที่ผ่านการขัดสีแล้ว รวมทั้งข้าวหัก แต่ไม่รวมผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูป หากพบว่ามีการนำเข้าข้าวพันธุ์ของไต้หวันโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีการมอบสิทธิ์จะดำเนินการตามกฎหมายพันธุ์พืชและต้นอ่อน ปรับตั้งแต่ 300,000 ดอลลาร์ไต้หวัน และปรับสูงสุด 1,500,000 ดอลลาร์ไต้หวัน และห้ามนำเข้าสินค้าที่มีอยู่ทั้งหมดอีกด้วย ตั้งแต่ปี 2560 คณะกรรมการการเกษตรทำการสุ่มตรวจการนำเข้าข้าวพบว่า มีการนำเข้าข้าวพันธุ์ของไต้หวันเช่น ข้าวไถหนาน11 ข้าวไถจง192 ข้าวเถาหยวน3 และข้าวไถหนง71 เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาไต้หวันไม่เคยมอบสิทธิ์หรือยินยอมให้มีการส่งออกพันธุ์ข้าวไต้หวันไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายกัวจื่อเจี้ยน กองตรวจสอบฝ่ายผลิตธัญพืช กล่าวว่า ต้นทุนการปลูกข้าวในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่กิโลกรัมละ 18 ดอลลาร์ไต้หวัน แต่ราคาขายส่งข้าวที่ปลูกในไต้หวันอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 32 ดอลลาร์ไต้หวันดังนั้น ถ้าข้าวไต้หวันที่ปลูกในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วนำกลับเข้ามาขายในไต้หวันจะทำให้ได้รับผลตอบแทนสูง ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดข้าวที่ปลูกในไต้หวัน นอกจากนี้ ถ้าข้าวพันธุ์ไต้หวันปลูกในต่างประเทศแล้วนำเข้ามาผสมกับข้าวไต้หวันยังสามารถตรวจสอบ DNA ได้ แต่ถ้าข้าวพันธุ์ไต้หวันปลูกต่างประเทศแล้วนำเข้ามาขายในไต้หวัน และมีการหลอกว่าเป็นข้าวไต้หวันจะไม่สามารถตรวจสอบ DNA หรือแยกแยะได้

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ