สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 25, 2020 14:45 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18 - 24 กันยายน 2563

1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1

มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้

2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว                               ราคาประกันรายได้        ครัวเรือนละไม่เกิน
                                           (บาท/ตัน)                  (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ                               15,000                    14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่                         14,000                    16
ข้าวเปลือกเจ้า                                  10,000                    30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี                            11,000                    25
ข้าวเปลือกเหนียว                                12,000                    16

กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด

2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563

2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ

2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว

3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้

3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่

3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563

4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร

4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1

4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,958 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,412 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.38

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,305 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,307 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,990 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,110 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 922 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,639 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 931 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,843 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ204 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,282 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 513 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,893 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 611 บาท

ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 477 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,816 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 494 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,305 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 489 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,686 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,769 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.79 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0617 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

เวียดนาม

วงการค้าข้าวคาดการณ์ว่า ราคาข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากผลผลิตข้าวฤดูใหม่ คือ ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว(The Autumn-Winter Crop) ออกสู่ตลาด ขณะที่ในต่างประเทศมีความต้องการข้าวลดลง โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณ 485-490 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจาก 490-495 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยผู้ซื้อข้าวรายใหญ่อย่างประเทศฟิลิปปินส์ จะชะลอการซื้อข้าวไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวภายในประเทศ

กรมศุลกากรเวียดนาม (The Customs Department) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2020 เวียดนามส่งออกข้าวได้ประมาณ 605,566 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี (มกราคม ? สิงหาคม) เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 4.61 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามได้พิจารณาโครงการจัดซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บเป็นสต็อกสำรองไว้ โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 รัฐบาลได้นำข้าวออกจากสต็อกสำรองประมาณ 23,000 ตัน เพื่อส่งไปช่วยเหลือประชาชนในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งได้ส่งไปยังประเทศคิวบาเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมการ โดยการซื้อข้าวเพื่อเก็บสำรองในครั้งนี้ เพื่อนำไปทดแทนข้าวในส่วนที่มีการนำออกมาจากคลัง โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภา (The National Assembly (NA) Standing Committee) ได้มีการอนุมัติงบประมาณสำหรับการจัดหาข้าวในครั้งนี้ จำนวน 274 พันล้านดอง หรือประมาณ 11.768 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา : Oryza.com

ญี่ปุ่น

กระทรวงเกษตร ประมงและป่าไม้ (The Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) ประกาศผลการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (Ordinary International Tenders) ครั้งที่ 2 ปีงบประมาณ 2020/21 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจำนวนรวม 54,000 ตัน ประกอบด้วย ข้าวสารเมล็ดกลางจากสหรัฐฯ จำนวน 26,000 ตัน และข้าวสารเมล็ดยาวจากประเทศไทย โดยในการประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมยื่นเสนอราคาจำนวน 31 ราย ซึ่งราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 98,725 เยนต่อตัน (ประมาณ 942 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน) ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 106,623 เยนต่อตัน (ประมาณ 1,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)

สำหรับการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (ordinary international tenders) ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2020/21 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ซึ่งกำหนดซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ประกอบด้วยข้าวสารเมล็ดยาว จำนวน 7,200 ตัน และข้าวเหนียวเมล็ดยาวจำนวน 2,120 ตัน ซึ่งมีผู้ยื่นเสนอราคา 14 ราย โดยราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 66,482 เยนต่อตัน (ประมาณ 622 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 71,801 เยนต่อตัน (ประมาณ 672 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)กระทรวงเกษตรฯ (the Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) เปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบ CPTPP Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 3 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020- 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 29 กันยายน 2563 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวประมาณ 1,000 ตัน จากประเทศสมาชิกกลุ่ม CPTPP

ทั้งนี้ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (The Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership; CPTPP) เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็น การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติซึ่งริเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2006 มีชื่อเดิมว่า TPP (Trans-Pacific Partnership) และมีสมาชิกทั้งหมด 12 ประเทศ แต่หลังจากสหรัฐฯ ถอนตัวออกไปเมื่อต้นปี 2017 ประเทศสมาชิกที่เหลือก็ตัดสินใจเดินหน้าความตกลงต่อ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า CPTPP ปัจจุบัน สมาชิก CPTPP มีทั้งหมด 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ (MAFF) ยังได้ประกาศเปิดการประมูลนำเข้าข้าวแบบ Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 25 กันยายน 2563 นี้ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวจำนวน 25,000 ตัน ประกอบด้วยข้าวกล้องหรือข้าวสาร (Whole kernel) จำนวน 22,500 ตัน และข้าวหัก/ปลายข้าว (Broken) จำนวน 2,500 ตัน กำหนดส่งมอบในวันที่ 31 ธันวาคม 2563

สำนักข่าว The Japan Times รายงานเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ว่า คณะนักชีววิทยาญี่ปุ่น นำโดยองค์การวิจัยอาหารและการเกษตรแห่งชาติหรือ นาโฟร (National Agriculture and Food Research Organization : NAFRO) ประสบความสำเร็จในการค้นพบยีน ที่กำหนดมุมการเติบโตของรากข้าว โดยหวังว่าการค้นพบจะนำไปสู่ การกำเนิดข้าวสายพันธุ์ใหม่อีกจำนวนมาก ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจเกิดความเสียหายจากดินเค็มมากขึ้น อันเป็นผลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และพายุไต้ฝุ่น เนื่องจากภาวะโลกร้อนนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า น้ำเค็มจะสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกประมาณครึ่งหนึ่ง ภายในปี2593 โดยพื้นที่ตามแนวชายฝั่งของญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ และเวียดนาม กำลังเผชิญกับความท้าทายดังกล่าวแล้ว

นายยูซากุ อุงะ หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของนาโฟร กล่าวว่า การปรับปรุงยีนทำให้สามารถออกแบบการเติบโตของรากข้าว เพื่อให้เหมาะกับสภาพของนาข้าวที่เพาะปลูก ยีนดังกล่าวพบในข้าวพันธุ์หนึ่งของอินโดนีเซียซึ่งรากจะเติบโตเป็นแนวนอนตามผิวดิน ดินที่มีระดับความเค็มสูง จะเหมือนกับดินในหน้าแล้ง ซึ่งป้องกันพืชไม่ให้รับน้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ความเค็มจะทำให้ดินแข็งเกินไป และขาดออกซิเจน

ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลา 4 ปีตั้งแต่ปี 2558 ในการเฝ้าจับตาดูข้าวพันธุ์ซาซานิชิกิ (Sasanishiki) ซึ่งผสมข้ามพันธุ์กับข้าวอินโดนีเซีย เติบโตออกรวงในนาข้าวดินเค็ม ซึ่งผลของการปรับปรุงพันธุกรรม สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในนาเกลือประมาณร้อยละ 15 ขณะเดียวกัน ข้าวที่ทดลองไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง กับการปลูกในนาข้าวดินปกติ

ที่มา : Oryza.com และเดลินิวส์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ