สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์: ข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 6, 2020 14:55 —สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 30 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน 2563

1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ

1.1 มาตรการสินค้าข้าว

แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือก อุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก

ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว

2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64 รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2

2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก

2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา

2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว

2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย

2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง

2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่

2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี

ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร

ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ

4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ

4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว

ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ

5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น

5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์

5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย

5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ

1.2 ราคา

1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ

ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,841 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,416 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 5.04

ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,545 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 8,491 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.64

2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ

ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 30,050 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 29,550 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.69

ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,250 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน

3) ราคาส่งออกเอฟโอบี

ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 917 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,296 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 916 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,381 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 85 บาท

ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 472 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,564 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 465 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,407 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.51 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 157 บาท

ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 475 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,657 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 474 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,686 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.21 แต่ลดลงในรูปเงินบาทตันละ 29 บาท

หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 30.9837 บาท

2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ

จีน

หนังสือพิมพ์ South China Morning Post (SCMP) รายงานว่า ราคาข้าวในประเทศจีนปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากผลผลิตในจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตข้าวหลักมีจำนวนลดลง โดยราคาข้าวทุกสายพันธุ์ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งผลผลิตข้าวได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเมื่อช่วงต้นปีประกอบกับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อ COVID-19 ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลงประมาณร้อยละ30 เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ

ทั้งนี้ เกษตรกรบางรายตั้งข้อสังเกตว่าราคาข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นระหว่าง 140-180 หยวนต่อ 50 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 418-537 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากประมาณ 120-145 หยวนต่อ 50 กิโลกรัม (ประมาณตันละ 358-435 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีที่แล้ว ขณะที่ราคาข้าวขายส่ง (Wholesale rice prices) สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ค้าธัญพืชและโรงงานแปรรูปของจีนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่ โดยผู้ค้าข้าวคาดว่าภาวะราคาข้าว มีแนวโน้มสูงขึ้นไปจนถึงสิ้นปีนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าคาดว่าราคาข้าวจะปรับตัวลดลง ในช่วงที่เริ่มมีผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวจากทางภาคเหนือของประเทศออกสู่ตลาด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2563 นี้

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2563/64 (กรกฎาคม 2563-มิถุนายน2564) ประเทศจีนจะมีผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 212.143 ล้านตัน (ประมาณ 148.5 ล้านตันข้าวสาร) เพิ่มขึ้นจากจำนวน 209.614 ล้านตัน (ประมาณ 146.73 ล้านตันข้าวสาร) ในปี 2562/63 เนื่องจากคาดว่าพื้นที่เก็บเกี่ยวจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการบริโภคข้าวในปี 2563/64 คาดว่าจะมีประมาณ 150 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากจำนวน 145.03 ล้านตันข้าวสารในปี 2562/63 เนื่องจากคาดว่าความต้องการใช้ข้าวในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศการจำหน่ายข้าวเก่าจากสต็อกรัฐบาลชุดแรกจำนวน 8 ล้านตัน โดยกำหนดราคา floor price ที่ตันละ1,000 หยวน (ประมาณ 147 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

สำนักงานสถิติแห่งชาติ (The National Bureau of Statistics) รายงานว่า ผลผลิตข้าวต้นฤดู (early rice production) ในปี 2563 คาดว่าจะมีประมาณ 27.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ3.9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ซึ่งผลผลิตข้าวต้นฤดูคาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น แม้จะประสบภาวะน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา แต่เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นประมาณ 1.875 ล้านไร่ เป็น 29.69 ล้านไร่ จึงทำให้คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น

สำหรับการจัดสรรโควตานำเข้าข้าว (TRQ) ในส่วนของข้าวเมล็ดยาว คาดว่าจะครบตามจำนวนที่กำหนดไว้แล้ว แต่ในส่วนของข้าวเมล็ดกลางและสั้น คาดว่าจะยังไม่ครบตามที่กำหนดไว้

ทางด้านสถานการณ์สต็อกข้าว นั้น คาดว่ามีแนวโน้มลดลง เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีการระบายข้าวเก่าจากสต็อกรัฐบาลแออกมาเป็นระยะ โดยคาดว่าในปี 2563/64 จะมีสต็อกคงเหลือสิ้นปีประมาณ 114.1 ล้านตัน ลดลงจากจำนวน 116.5 ล้านตัน ในปี 2562/63 ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 รัฐบาลได้จำหน่ายข้าวเก่าจากสต็อกรัฐบาล แล้วประมาณ 11.24 ล้านตัน ลดลงประมาณ 830,000 ตัน จากปีที่ผ่านมา ซึ่งข้าวที่มีการจำหน่ายประกอบด้วย

ข้าวต้นฤดู (early indica rice) ประมาณ 892,000 ตัน (ลดลงประมาณ 75,000 ตันจากปีที่แล้ว) ข้าวกลางและปลายฤดู(mid-to-late indica rice) ประมาณ 3.75 ล้านตัน (ลดลงประมาณ 1.14 ล้านตัน จากปีที่แล้ว) และข้าวพันธุ์จาปอนิกา (japonica rice) ประมาณ 6.6 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นประมาณ 380,000 ตัน จากปีที่แล้ว โดยข้าวเก่าประมาณร้อยละ79 จากที่จำหน่ายทั้งหมดเป็นข้าวจากฤดูการผลิตปี 2557/58)

ศูนย์การค้าธัญพืชแห่งชาติ (China?s National Grain Trade Center; NGTC) รายงานว่า ในเดือนตุลาคม 2563มีการจำหน่ายข้าวเปลือกจากสต็อกรัฐบาลจำนวนประมาณ 604,479 ตัน (คิดเป็นร้อยละ17 ของจำนวนที่นำออกประมูล) จากจำนวนข้าวเปลือกเก่าในสต็อกรัฐบาลที่นำออกมาประมูลขายประมาณ 3.6 ล้านตัน ซึ่งลดลงจากจำนวน 1.3 ล้านตันที่จำหน่ายได้ในเดือนที่ผ่านมา

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

อิหร่าน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน รายงานว่า นายมาร์สิเคชาวาร์ส ประธานสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่านได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอิหร่านเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ภายในช่วงเวลา 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ2563 (เริ่มเดือนเมษายน 2563 เป็นต้นมา) อิหร่านนำเข้าข้าวลดลงกว่าร้อยละ 50 ซึ่งถือเป็นปริมาณต่ำกว่าเป้าหมาย การนำเข้าที่ตั้งไว้ในปี 2563 คือ 1.5 ล้านตัน ซึ่งต้องนำเข้าเฉลี่ยเดือนละ 200,000 ตัน ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่อิหร่านจะพิจารณาหาแหล่งนำเข้าข้าวใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการที่เหลือในปีนี้อีกประมาณ 1 ล้านตัน โดยมองไปยังประเทศผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากอินเดียและปากีสถาน ซึ่งได้แก่ ไทย และประเทศในอเมริกาใต้

ปัจจุบันอิหร่านนำเข้าข้าวบาสมาติจากอินเดียและปากีสถานเป็นหลัก คิดเป็นปริมาณร้อยละ 80 ของการนำเข้า โดยข้าวจาก 2 ประเทศนี้ จัดว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการของผู้บริโภคชาวอิหร่านมากที่สุด มีรสชาติใกล้เคียงกับรสนิยมชาวอิหร่าน ง่ายต่อการหุงและไม่แฉะ ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าข้าวที่ผลิตภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียมูลค่าของเงินเรียลในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การนำเข้าข้าวจาก 2 ประเทศนี้ มีราคาสูงขึ้น ทำให้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อิหร่านไม่สามารถจัดหาข้าวจากอินเดียและปากีสถานในราคาเดิมและตามปริมาณที่ตั้งเป้าเอาไว้ได้ ซึ่งประธานสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่านมองว่าหากยังนำเข้าข้าวจาก 2 ประเทศนี้ ในราคาที่แพงขึ้น เท่ากับว่าราคาจำหน่ายข้าวในอิหร่านจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัว ดังนั้น เพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ ซึ่งจะต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศในปี 2563 นี้ รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านตัน อิหร่านจึงจำเป็นต้องมองหาแหล่งนำเข้าทดแทนเป็นการเร่งด่วน และจะต้องเป็นแหล่งนำเข้า ที่มีราคาถูก ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมฯ เห็นว่าตลาดนำเข้าที่มีศักยภาพในการตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้ในปัจจุบันได้แก่ ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เปรูเอกัวดอร์ เป็นต้น

ทั้งนี้ นอกจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้การนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้นแล้วสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้อิหร่านไม่สามารถนำเข้าข้าวได้ตามปริมาณที่ต้องการคือ 1) รัฐบาลอิหร่านได้ประกาศห้ามนำเข้าในช่วงต้นฤดูกาลผลิต 2562/63 เพราะเห็นว่าอิหร่านมีปริมาณน้ำที่เพียงพอในการผลิต และรัฐบาลอนุญาตให้ขยายพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าว 2) การขาดแคลนเงินตราอันเนื่องมาจากมาตรการคว่ำบาตร ทำให้ธนาคารกลางแห่งชาติอิหร่าน กำหนดรายการสินค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศ ในอัตราแลกเปลี่ยนทางการซึ่งถูกกว่าอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดกว่า 3 เท่าตัว (300%) ซึ่งสินค้าข้าวในขณะนั้นให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในอัตรา NIMA ซึ่งเป็นอัตราเสรีที่ผู้นำเข้า ส่งออกตกลงกันในระบบ Online Bidding ของรัฐ โดยปกติจะอยู่ในอัตราที่สูงกว่าอัตราทางการ แต่ก็ต่ำกว่าอัตราตลาด โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 190,000 เรียลต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่อัตราทางการอยู่ที่ประมาณ 43,000 เรียลต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราตลาดอยู่ที่ประมาณ 290,000 เรียลต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ

ดังนั้น การยกเลิกให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศสำหรับการนำเข้าข้าวในอัตราพิเศษนี้ ทำให้ผู้นำเข้ามีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น สินค้าข้าวที่เจรจานำเข้าไว้ก่อนหน้ามีราคาสูงขึ้น ตลอดจนประสบปัญหาในการกู้ยืมและแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ทำให้การนำเข้าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 จึงถูกระงับหรือยกเลิกไป ซึ่งจากสถิติการนำเข้าของทางการพบว่า ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณการนำเข้าในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าโดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 นี้ อิหร่านนำเข้าข้าวเพียง 550,000 ตัน ยังขาดเหลืออีกประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งจะต้องเร่งนำเข้าให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งมีเวลาเหลือเพียง 5 เดือน ทั้งนี้ กระทรวงการค้าและพาณิชย์อิหร่านได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2563 อิหร่านจะต้องนาเข้าข้าวให้ได้เดือนละ 200,000 ตัน

การเร่งให้มีการนำเข้าข้าวดังกล่าว มีสาเหตุมาจากปัจจุบันข้าวในตลาดมีปริมาณลดลงส่งผลให้ราคาสูงขึ้นและถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อ อาจทำให้เกิดวิกฤติในตลาดผู้บริโภคและนำไปสู่ปัญหาการประท้วงได้ ซึ่งรัฐบาลอิหร่านพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาสมดุลความต้องการสินค้าพื้นฐานในตลาด โดยเฉพาะความสมดุลด้านปริมาณและราคา ซึ่ง การขาดแคลนข้าวในตลาดผู้บริโภคในอิหร่านในครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยหลักคือการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศที่นำไปสู่การห้ามนำเข้า และการกำหนดระเบียบการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำเข้าสินค้าจำเป็นพื้นฐาน ที่พบว่ายังมีความผันผวนและไม่มั่นคง ส่งผลให้ราคาข้าวที่นำเข้า

ในปัจจุบันมีต้นทุนสูงถึงประมาณกิโลกรัมละ 250,000 เรียลโดยเฉลี่ย (ประมาณ 65 บาท) นอกจากนี้ยังพบว่า รัฐบาลอิหร่านได้พยายามเจรจากับประเทศคู่ค้าหลายๆ ประเทศ ในการหากลไกการชำระราคาสินค้าที่ไม่ต้องใช้เงินตราโดยพยายามผลักดันมาตรการชำระค่าสินค้าแบบการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือ Barter Trade เป็นต้น ซึ่งประเทศที่เป็นคู่ค้าส่วนใหญ่ เช่น อินเดีย และปากีสถาน ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างเต็มตัว ซึ่งการหันมานำเข้าจากไทยและประเทศ

ในอเมริกาใต้ครั้งนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่ารัฐบาลอิหร่านอาจประสงค์ให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าแบบ Barter Trade เช่นกัน ซึ่งในส่วนของไทยการซื้อขายสินค้าผ่านกลไกดังกล่าวปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว

ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

บราซิล

บราซิลเปิดตลาดนำเข้าข้าวจากทุกประเทศเพิ่มขึ้นรวม 4 แสนตัน อัตราภาษีร้อยละ 0 จากเดิมร้อยละ 12 เพื่อแก้ปัญหาความต้องการข้าวในประเทศที่เพิ่มขึ้น นับเป็นโอกาสดีสำหรับไทยที่จะส่งออกได้มากขึ้น โดยล่าสุดส่งออกไปแล้วประมาณ 3 หมื่นตัน ทำให้มีตลาดรองรับผลผลิตข้าวนาปีที่กำลังออก ส่วนการเจรจาขายข้าวให้จีนงวดที่ 8 ซึ่งเสนอขายข้าวเหนียว และข้าวขาว จำนวน1 แสนตัน อยู่ระหว่างรอฟังผลการเจรจาภายใน 6 พฤศจิกายนนี้

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนกันยายน 2563 สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการค้าต่างประเทศของบราซิล (CAMEX) ได้ออกมาตรการเพื่อลดภาษีนำเข้าข้าวเปลือกและข้าวสารในอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 0 สำหรับข้าวนำเข้าจากทุกประเทศ ปริมาณรวม 400,000ตัน มีผลตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน - 31 ธันวาคม 2563 เนื่องจากรัฐบาลบราซิลต้องการให้ประชาชนมีข้าวเพียงพอบริโภคในประเทศในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และทำให้ราคาขายปลีกในประเทศลดลง จึงเป็นโอกาสของผู้ส่งออกข้าวของไทยที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออกข้าวไปยังบราซิล?การลดภาษีดังกล่าว ทำให้ในเดือนกันยายน ? ตุลาคม 2563 ไทยส่งออกข้าวไปบราซิลได้แล้ว 28,163 ตันมูลค่ากว่า 12.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 390 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาไทยต้องเสียภาษีนำเข้าข้าวให้กับบราซิล

ในอัตราร้อยละ 12 และค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง จึงส่งออกไปบราซิลไม่มากนัก แต่ปีนี้การส่งออกจะเพิ่มขึ้น ถือเป็นข่าวดีที่ไทยจะมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนในปี 2562 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกข้าวไปบราซิลได้เพียง 433 ตัน มูลค่า 460,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 14 ล้านบาท ข้าวที่ส่งออก ได้แก่ ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิไทยและข้าวกล้อง? นายกีรติกล่าว

สำหรับบราซิลเป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน มากที่สุดในลาตินอเมริกา และมากเป็นอันดับ 6 ของโลก กำลังซื้อของผู้บริโภคบราซิลมีแนวโน้มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บราซิลยังมีศักยภาพในการเป็นประตูการค้าไปสู่ประเทศอื่นในลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่าง (เมอร์โคซู) ประกอบด้วย บราซิล อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา ปารากวัย และอุรุกวัย การที่บราซิลลดภาษีนำเข้าข้าวครั้งนี้ ยังจะทำให้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกไปในกลุ่มเมอร์โคซูได้อีกด้วยทั้งนี้ ในแต่ละปี บราซิลนำเข้าข้าวเฉลี่ยประมาณ 300,000-400,000 ตัน โดยนำเข้าจากปารากวัยเป็นหลักและนำเข้าจากไทยเพียงปีละ 420-440 ตัน ส่วนใหญ่เป็นข้าวเหนียว และข้าวขาว โดยบราซิลจะยกเว้นภาษีนำเข้าให้แก่ข้าวที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกกลุ่ม Mercosur ส่วนประเทศนอกกลุ่มดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยต้องเสียภาษีอัตราร้อยละ 12 ส่วนข้าวเปลือกภาษีร้อยละ 10

นายกีรติ กล่าวว่า ทางด้านการเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับจีนตามสัญญาซื้อขาย 1 ล้านตัน และที่ผ่านมาไทยได้ส่งมอบไปแล้ว 7 ล็อต หรือ 700,000 ตัน โดยล่าสุดไทยได้เสนอราคาขายข้าวล็อตที่ 8 อีก 100,000 ตันให้กับจีนแล้ว โดยเป็นข้าวเหนียว และข้าวขาว กำหนดให้จีนต้องตอบกลับภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2563 หากล็อตนี้สามารถตกลงราคาซื้อขายกันได้ จะทำให้ไทยมีตลาดรองรับปริมาณผลผลิตข้าวที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้เพิ่มขึ้นกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ช่วงเดือนมกราคม ? กันยายน 2563 ไทยส่งออกข้าวได้แล้ว 4.04 ล้านตัน มูลค่า 2,702.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 31.89 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 5.93 ล้านตันและราคาลดลงร้อยละ 15.53 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 3,191 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา : commercenewsagency.com

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ