การตลาดและการจำหน่าย
การส่งออก
ไตรมาส 1 ปี 2556 ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก (3916-3926) เท่ากับ 248,990.71 ตัน ลดลงร้อยละ 2.01 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในยุโรป และปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลไปยังหลายภูมิภาคในโลก รวมทั้งประเทศคู่ค้า หลักของไทย เช่น ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา โดยสินค้าที่มีการส่งออกลดลงได้แก่ ใยยาวเดี่ยวหลอดหรือท่อ พลาสติกปูพื้น แผ่นฟิล์มฟอยล์ และเครื่องสุขภัณฑ์ ลดลงร้อยละ 30.37 1.32 1.37 และ 9.17 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (ดังตารางที่ 3)
การนำเข้า
ไตรมาส 1 ปี 2556 ปริมาณการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก (3916-3926) เท่ากับ 132,586.96 ตัน ลดลงร้อยละ 1.63 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยสินค้าที่มีการนำเข้าลดลงได้แก่ หลอดหรือท่อ พลาสติกปูพื้น เครื่องสุขภัณฑ์ ของที่ใช้ลำเลียงหรือบรรจุสินค้า และเครื่องใช้ใน ครัวเรือน ลดลงร้อยละ 6.95 32.89 4.97 1.88 และ 20.52 โดยประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้า ดังกล่าวมากที่สุด คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ
นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
มาตรการส่งเสริมของภาครัฐ อาทิเช่น นโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก ค่าจ้างขั้นต่ำ เงินเดือนขั้นต่ำ เป็นต้น ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ขยายตัว ประกอบกับรัฐบาลได้มีเม็กกะโปรเจค เช่นโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น ถือว่าเป็นการชดเชยกับรายได้จากการส่งออกที่หดตัวลงมาก อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการแข็งค่าของเงินบาท
สรุปและแนวโน้มปี 2556
อุตสาหกรรมพลาสติกปี 2555 โดยภาพรวมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับในปี 2554 ที่มีฐานค่อนข้างต่ำ สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมพลาสติกในปี 2556 ประเทศไทยต้องตระหนักในเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและกระทบต่ออุตสาหกรรมพลาสติกด้วยเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industries) ให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในประเทศ ทั้งนี้หากค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 29 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ การส่งออกของไทยจะมีมูลค่าลดลงประมาณ 47,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับ 1,377,500 ล้านบาท (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) และถ้าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก ความเสียหายต่อภาคการส่งออกก็จะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นภาครัฐควรที่จะต้องเข้ามาดูแล เรื่องค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปมากกว่านี้
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--