! แหล่งผลิตอะลูมิเนียมขั้นต้นที่สำคัญของโลกมีกระจายอยู่ในหลายทวีป โดยมีสัดส่วนการผลิตแบ่งเป็น ทวีปอเมริการ้อยละ 29 ทวีปเอเซียร้อยละ 24 ทวีปยุโรปร้อยละ 33 โอเชียเนียร้อยละ 9 และแอฟริการ้อยละ 5
! ปริมาณการใช้อะลูมิเนียมแบ่งตามสัดส่วนของอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมขนส่ง(Transport) คิดเป็นร้อยละ 26 อุตสาหกรรมหีบห่อ (Packaging) คิดเป็นร้อยละ 22 อุตสาหกรรมก่อสร้าง(Construction) คิดเป็นร้อยละ 22 อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล (Machinery) คิดเป็นร้อยละ 8 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electrical) คิดเป็นร้อยละ 8 และอื่นๆ
ภาวะอะลูมิเนียมในตลาดโลก
ในปี 2551 อะลูมิเนียมมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,578 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมตริกตันโดยขึ้นสูงสุดในเดือนกรกฎาคมไปอยู่ที่ 3,220 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน และต่ำที่สุดในเดือนธันวาคม ที่ราคา 1,460เหรียญสหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน
ปริมาณการผลิตโลก
ปริมาณการผลิตอะลูมิเนียมขั้นต้นของโลก ในปี 2551 มีปริมาณเท่ากับ 39.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ ซึ่งผลิตได้รวม 38 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 4.47 เนื่องจากประเทศผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ของโลกสามารถผลิตอะลูมิเนียมได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาประเทศผู้ผลิตอะลูมิเนียมอันดับ 4 ของโลก มีปริมาณการบริโภคอะลูมิเนียมในประเทศลดลง ทำให้มีปริมาณอะลูมิเนียมเหลือเพื่อการส่งออกมากขึ้น และกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกอะลูมิเนียมขั้นต้นสุทธิในปี 2551
ที่มา: U.S.Geological Survey Yearbook & & & & หน่วย: พันเมตริกตัน
ปริมาณการผลิตโดยรวมของผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ของโลกมีเพิ่มมากขึ้น โดย จีน รัสเซีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นในปี 2551 คิดเป็นร้อยละ 7.14, 6.06, 0.32 และ 3.36 ตามลำดับ
ปริมาณอะลูมิเนียมคงคลังในตลาดโลก
ที่มา: London Metal Exchange& & & & & & หน่วย: พันเมตริกตัน
ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 ราคาอะลูมิเนียมขั้นต้นได้ตกต่ำลงจากราคาในช่วงกลางปีประมาณร้อยละ 50 เนื่องจากอุปสงค์ของอะลูมิเนียมขั้นต้นในตลาดโลกมีปริมาณลดลง อันมีสาเหตุมาจากการหดตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจาก
1. การสะสมของปริมาณอะลูมิเนียมคงคลังในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นสูงมากจากปีก่อนหน้า ซึ่งมีส่วนผลักดันให้ราคาอะลูมิเนียมในตลาดโลกลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง
2. การคาดการณ์ถึงภาวะถดถอย (Bearish Speculation) อย่างรุนแรงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากจะทำให้ปริมาณการบริโภคอะลูมิเนียมของสหรัฐอเมริกาเองลดลง จนทำให้กลายเป็นประเทศผู้ส่งออกอะลูมิเนียมสุทธิในปี 2551 แล้ว ผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามไปทั่วโลก ยังทำให้ผู้ซื้อเกิดการคาดการณ์ถึงภาวะถดถอย จนทำให้เกิดการชะลอซื้อและชะลอบริโภคตามมาอีกด้วย
ภาวะสินค้าอะลูมิเนียมในประเทศไทย
การนำเข้า
ในปี 2551 ประเทศไทยมีการนำเข้าสินค้าหมวดอะลูมิเนียม (HS: 76) จำนวนทั้งสิ้น 770,561 ตัน คิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการนำเข้าได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณร้อยละ 9.27 ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมมากที่สุด 3 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน โดยมีสัดส่วนการนำเข้า คิดเป็นร้อยละ 24.75, 17.74 และ 12.41 ตามลำดับ
สินค้าที่มีปริมาณการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่
HS: 7601 อะลูมิเนียมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป มีปริมาณการนำเข้ารวม 437,359 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 56.76 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่มีการนำเข้าทั้งหมด และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 3.92 ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปเป็นปริมาณมากที่สุดคือ ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย
HS: 7606 แผ่น แผ่นบางและแถบ ทำด้วยอะลูมิเนียม มีความหนาเกิน 0.2 มิลลิเมตร มีปริมาณการนำเข้ารวม 126,611 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 16.43 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่มีการนำเข้าทั้งหมด และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 26.13 ประเทศที่ไทยนำเข้าอะลูมิเนียมแผ่นเป็นปริมาณมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้
HS: 7602 เศษและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นอะลูมิเนียม มีปริมาณการนำเข้ารวม 101,207 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 13.13 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่มีการนำเข้าทั้งหมด และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 103.08 ประเทศที่ไทยนำเข้าเศษอะลูมิเนียมเป็นปริมาณมากที่สุด คืออังกฤษ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย
สินค้าที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่
HS: 7601 อะลูมิเนียมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป มีมูลค่าการนำเข้าโดยรวม 1,238 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าร้อยละ 44.24 และมีการหดตัวของมูลค่าการนำเข้าร้อยละ 0.64 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปเป็นมูลค่าสูงสุด คือ ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรัสเซีย โดยสามประเทศนี้ถือครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่าร้อยละ 70 ของการนำเข้าอะลูมิเนียมที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปทั้งหมดของไทย
HS: 7606 แผ่น แผ่นบางและแถบ ทำด้วยอะลูมิเนียม มีความหนาเกิน 0.2 มิลลิเมตร มีมูลค่าการนำเข้าโดยรวม 543 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าร้อยละ 19.39 และมีอัตราส่วนการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 25.91 ประเทศที่ไทยนำเข้าสินค้าอะลูมิเนียมแผ่นเป็นมูลค่าสูงสุด คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และจีน โดยสามประเทศนี้ถือครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 56 ของการนำเข้าอะลูมิเนียมแผ่นทั้งหมดของไทย
HS: 7616 ของอื่นๆ ทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าการนำเข้าโดยรวม 205 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าร้อยละ 12.69 และมีอัตราส่วนการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 0.68 ประเทศที่ไทยนำเข้าของที่ทำด้วยอะลูมิเนียมเป็นมูลค่าสูงสุด คือ ญี่ปุ่น จีน และ มาเลเซีย โดยสามประเทศนี้ถือครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่าร้อยละ 70 ของการนำเข้าของที่ทำด้วยอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย
การส่งออก
ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าหมวดอะลูมิเนียม (HS: 76) ในปี 2551 จำนวนทั้งสิ้น 248,534 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,268 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณร้อยละ 12.09 ประเทศที่ไทยส่งสินค้าอะลูมิเนียมออกไปขายเป็นมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และอินเดีย โดยมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 36.5, 15.21 และ 10.37 ตามลำดับ
สินค้าที่มีปริมาณการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
HS: 7610 สิ่งก่อสร้าง ไม่รวมถึงอาคารสำเร็จรูปตามประเภทที่ 94.06 และส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้าง (เช่น สะพานและส่วนของสะพาน หอคอย เสาที่มีโคงประสานกัน หลังคา โครงหลังคา ประตูหน้าต่าง กรอบของประตูหน้าต่างและธรณีประตู ระเบียบ เสาชนิดพิลลาร์และคอลัมน์) ทำด้วยอะลูมิเนียม รวมทั้ง แผ่น เส้น โพรไฟล์ หลอดหรือท่อ และของที่คล้ายกันที่จัดทำไว้เพื่อใช้ทำเป็นสิ่งก่อสร้างทำด้วย อะลูมิเนียม มีปริมาณการส่งออกรวม 79,844 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 32.13 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่ไทยมีการส่งออกทั้งหมด ปริมาณการส่งออกในปีนี้ได้หดตัวลงร้อยละ 1.56 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประเทศที่ไทยส่งออกสินค้าสิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบที่ทำด้วยอะลูมิเนียมเป็นปริมาณมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา
HS: 7604 ท่อน เส้นและโพรไฟล์ ทำด้วยอะลูมิเนียม มีปริมาณการส่งออกรวม 32,033 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12.89 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่ไทยมีการส่งออกทั้งหมด ปริมาณการส่งออกในปีนี้ได้หดตัวลงถึงร้อยละ 4.69 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประเทศที่ไทยส่งออกท่อน เส้นและโพรไฟล์ทำด้วยอะลูมิเนียมเป็นปริมาณมากที่สุด คือ อินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย
HS: 7602 เศษและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นอะลูมิเนียม มีปริมาณการส่งออกรวม 30,655 ตัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 12.33 ของปริมาณสินค้าอะลูมิเนียมที่ไทยมีการส่งออกทั้งหมด มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 2.17 ประเทศที่ไทยส่งออกเศษอะลูมิเนียมเป็นปริมาณมากที่สุด คือ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น
สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
HS: 7610 สิ่งก่อสร้าง ไม่รวมถึงอาคารสำเร็จรูปตามประเทภทที่ 94.06 และส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้าง (เช่น สะพานและส่วนของสะพาน หอคอย เสาที่มีโคงประสานกัน หลังคา โครงหลังคาประตูหน้าต่าง กรอบของประตูหน้าต่างและธรณีประตู ระเบียบ เสาชนิดพิลลาร์และคอลัมน)? ทำด้วยอะลูมิเนียม รวมทั้ง แผ่น เส้น โพรไฟล์ หลอดหรือท่อ และของที่คล้ายกันที่จัดทำไว้เพื่อใช้ทำเป็นสิ่งก่อสร้างทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าการส่งออกรวม 470 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.09 ของการส่งออกอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 10.69 ประเทศที่ไทยมีการส่งออกสิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบที่ทำด้วยอะลูมิเนียมเป็นมูลค่าสูงสุด คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ โดยการส่งออกของไทยไปยังสามประเทศนี้คิดเป็นร้อยละ 90 ของการส่งออกสิ่งก่อสร้างและส่วนประกอบที่ทำด้วยอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทยไปยังทุกประเทศ
HS: 7615 ของใช้บนโต๊ะอาหาร ของใช้ในครัวหรือของใช้ตามบ้านเรือนอื่นๆ และส่วนประกอบของของดังกล่าว ทำด้วยอะลูมิเนียม ของที่ใช้ขัดหม้อ แผ่น ถุงมือและของที่คล้ายกันสำหรับขัดมันหรือขัดถู ทำด้วยอะลูมิเนียม เครื่องสุขภัณฑ์และส่วนประกอบของเครื่องสุขภัณฑ์ทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าการส่งออกรวม 168 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.25 ของการส่งออกอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย มูลค่าการส่งออกในปีนี้ได้หดตัวลงถึงร้อยละ 4.33 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ประเทศที่ไทยมีการส่งออกของใช้ที่ทำด้วยอะลูมิเนียมในพิกัดฯ 7615 เป็นมูลค่าสูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสหราชอาณาจักร โดยการส่งออกของไทยไปยังสามประเทศนี้คิดเป็นร้อยละ 89 ของการส่งออกของใช้ทำด้วยอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทยไปยังทุกประเทศ
HS: 7616 ของอื่นๆ ทำด้วยอะลูมิเนียม มีมูลค่าการส่งออกรวม 134 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.54 ของการส่งออกอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าคิดเป็นร้อยละ 21.27 ประเทศที่ไทยมีการส่งออกของอื่น ๆ ทำด้วยอะลูมิเนียมเป็นมูลค่าสูงสุด คือ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยการส่งออกของไทยไปยังสามประเทศนี้คิดเป็นร้อยละ 52 ของการส่งออกของอื่น ๆ ทำด้วยอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทยไปยังทุกประเทศ
การผลิต
ผู้ผลิตไทยได้จากผลกระทบของวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าอะลูมิเนียมในประเทศไทยมีปริมาณลดลง สินค้าอะลูมิเนียมในหมวดที่ใช้เป็นส่วนประกอบของรถยนต์มีปริมาณลดลงสูงสุดคิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของปริมาณสินค้าที่ผลิตในปีก่อนหน้า สินค้าในหมวดอื่นมีปริมาณการผลิตลดลงโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 30 สินค้าในหมวดที่ผลิตสำหรับอุตสาหกรรมอาหารเป็นหมวดเดียวที่ยังคงรักษาการผลิตระดับเดิม
นอกจากผลกระทบของปริมาณการผลิตที่ลดลงแล้ว ต้นทุนวัตถุดิบในปี 2551 อาจเป็นภาระของผู้ผลิตไทย เนื่องจากกว่าครึ่งของปี 2551 ผู้ผลิตมีวัตถุดิบคงคลังที่มีต้นทุนสูง ในขณะที่ครึ่งหลังของปีราคาวัตถุดิบที่ลดลงกว่าร้อยละ 50 ทำให้ผู้ผลิตบางส่วนต้องรับภาระต้นทุนวัตถุดิบเหล่านั้นไว้
จากการพิจารณาตารางการลดภาษีภายใต้ข้อตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีของไทยและประเทศคู่เจรจาที่ได้ลงนามไปแล้ว จะเห็นได้ว่าสินค้าอะลูมิเนียมส่วนใหญ่เป็นสินค้าภายใต้บัญชีลดภาษีปกติ(Normal Track) ของไทย คือจะมีการปรับลดภาษีภายในระยะเวลา 1 - 2 ปีนี้ ซึ่งในส่วนนี้ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงภาวะการแข่งขันจากประเทศจีน และเกาหลีใต้ ที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นภายในปี 2553 และมีการเตรียมความพร้อมและมาตรการเพื่อรองรับกับสถานการณที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงแนวทางแสวงหาประโยชน์จากการเปิดเสรีภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว
บทสรุปและคาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ปี 2552
ถึงแม้ว่าราคาอะลูมิเนียมขั้นต้นจะตกต่ำลงในช่วงปลายปี 2551 แต่ปริมาณความต้องการบริโภคจากระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น ประเทศจีนนั้นยังคงมีอยู่ เนื่องจากจีนนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามากนัก จึงคาดการณ์ได้ว่าปริมาณการบริโภคที่ยังคงมีอยู่นี้จะยังคงสนับสนุนการเติบโตของปริมาณการผลิตอะลูมิเนียมขั้นต้นในปี 2552 อย่างไรก็ดีผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจน่าจะยังคงมีผลในส่วนของอัตราการเติบโตที่อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2550 และ 2551 นอกจากนั้นแล้ว กลุ่มผู้ผลิตบางส่วนอาจจะเข้ามาสู่การผลิต เมื่อเสร็จสิ้นการลงนามซื้อขายพลังงานใหม่ (Renew Energy Contract) และการลดลงของราคาพลังงานก็จะเป็นปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนให้ผู้ผลิตกลับเข้าสู่การผลิตอีกครั้ง
ในส่วนของผู้ซื้อ เมื่อราคาอะลูมิเนียมขั้นต้นลดต่ำลง และผู้ซื้อได้ระบายปริมาณสินค้าคงคลังที่มีมูลค่าสูงนั้นได้ที่ระดับหนึ่งแล้ว ผู้ซื้ออาจจะพิจารณาว่าราคาสินค้าได้ตกลงในราคาที่เหมาะสม และกลับเข้าสู่ตลาดซื้อสินค้าเพื่อรักษาระดับสินค้าคงคลังอีกครั้ง
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--