กรุงเทพฯ--2 พ.ค.--บีโอไอ
บีโอไอเร่งดำเนินการชักจูงให้เกิดการลงทุน พร้อมแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ หวังกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ มั่นใจนโยบายส่งเสริมใหม่ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ส่วนภาวะการลงทุนไตรมาสแรกสดใส นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมเพิ่ม 75% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขยายตัว 25 %
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้บีโอไอหามาตรการเร่งรัดส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วน โลหะ ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมเกษตร รวมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของผู้ได้รับส่งเสริม ทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นการลงทุนและส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บีโอไอได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ หลายเรื่อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่มีคุณภาพ อาทิ มาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรม และมาตรการส่งเสริมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม จึงทำให้มั่นใจว่า หากบีโอไอแก้ไขปัญหาอุปสรรคแก่นักลงทุนอย่างใกล้ชิด ภาวะการลงทุนของไทยก็จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการยื่นขอรับส่งเสริม และการเปิดดำเนินกิจการ ซึ่งจะช่วยส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2546 ถึง 2549) การเปิดดำเนินงานของโครงการที่ได้รับส่งเสริมลงทุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยจำนวนโครงการเปิดดำเนินงานเพิ่มจาก 424 โครงการในปี 2546 เป็น 1,074 โครงการ ในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 49 ต่อปี ส่วนมูลค่าเงินลงทุนของโครงการที่เปิดดำเนินงานเพิ่มจาก 112,262 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 202,081 ล้านบาทในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 29 ต่อปี
ไตรมาสแรกขยายตัว 75%
นายสาธิตกล่าวต่อไปว่า มูลค่าเงินลงทุนของโครงการที่ขอรับส่งเสริมในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2550 (มกราคม-มีนาคม) มีมูลค่า 129,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่า 73,900 ล้านบาท ถึงร้อยละ 75 ส่วนจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จาก 302 โครงการ เป็น 356 โครงการ
อุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งคือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 33,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่าการลงทุน 13,500 ล้านบาทกว่า 2 เท่า
อันดับที่สองคือ อุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค มีมูลค่าการลงทุนรวม 29,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่าการลงทุน 12,000 ล้านบาทกว่า 2 เท่า มีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ กิจการทำ R&D ยางรถยนต์, โรงไฟฟ้า Bio Mass, กิจการ Logistic Park และโรงแรม เป็นต้น
อันดับสามคือ อุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่าการลงทุนรวม 29,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่าการลงทุน 7,800 ล้านบาท กว่า 4 เท่ามีโครงการลงทุนที่สำคัญได้แก่ กิจการผลิตน้ำมันปาล์ม กิจการคัดคุณภาพข้าว และกิจการผลิตเอทานอล
อันดับสี่คือ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีมูลค่าการลงทุน 11,500 ล้านบาท กว่าร้อยละ 72 โดยมีโครงการผลิตยางรถยนต์ โครงการผลิตรถแทร็กเตอร์ โครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ Mould & Die
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 15,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนผลิต PCBA, Compressor, Resistor ชิ้นส่วน HDD และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
ต่างชาติลงทุนเพิ่ม สวนกระแส
นายสาธิตกล่าวถึงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ในช่วง 3 เดือนแรกปี 2550 ว่า มีมูลค่ากว่า 74,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2549 โดยหลายประเทศมีการขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มมากขึ้นกว่าไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ยังคงเป็นประเทศที่มีการลงทุนในไทยสูงสุดจำนวน 81 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 39,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2549 และคิดเป็นมูลค่าการลงทุนร้อยละ 51 ของมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ของประเทศอื่นๆ ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (เพิ่มร้อยละ 500 หรือ 5 เท่า) เกาหลีใต้ (เพิ่มร้อยละ 10) อินเดีย (เพิ่มร้อยละ 110) อินโดนีเซีย (เพิ่มร้อยละ 1,600 หรือ 16 เท่า) เยอรมนี (เพิ่มร้อยละ 230) ฝรั่งเศส (เพิ่มร้อยละ 29) แคนาดา (เพิ่มร้อยละ 16,000 หรือ 160 เท่า) แม้แต่การลงทุนจากออสเตรเลีย ซึ่งถูกระบุว่าขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 37