โกลเบล็กแนะเล่นหุ้นปีกระต่าย เลือกลงทุนรายตัว-ถือเงินสด80%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 11, 2011 15:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ม.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ บล.โกลเบล็ก ปรับกลยุทธ์ลดพอร์ตระยะ 2 เดือน หลังตลาดหุ้นเริ่มมี Upside จำกัด โดยเฉพาะหุ้นแบงก์-พลังงาน แนะเลือกเล่นหุ้นรายตัว 20%ของพอร์ตรวม และถือเงินสดรอกลับเข้าซื้อหุ้นที่ระดับ 1,020 จุด ชูกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ TVO, LST และ KSL รับอุปสงค์เติบโต นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์(บล.)โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนปรับลดน้ำหนักการลงทุนระยะ 2 เดือนลดลงสู่ระดับ 0% จากเดิม 50% เนื่องจากเห็นว่าการปรับตัวขึ้นของพอร์ตการลงทุนและตลาดเริ่มมีจำกัด รวมทั้งดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเหนือ 1,040 จุดซึ่งเป็นเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ตลอดจนราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวดีเรียบร้อยแล้ว โดยพอร์ตการลงทุนจำลองแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น(Upside) เหลือเพียง 2% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ 20 อันดับแรกใน SET 50 นำโดยกลุ่มแบงก์ และพลังงานมี Upside เฉลี่ยต่ำกว่า 4% ดังนั้น หุ้นขนาดใหญ่อาจไม่มีแรงจูงใจที่มากพอในการเข้าซื้อ ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความเสี่ยงการคลังของสหภาพยุโรป(EU) และการฟื้นตัวอย่างเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น การปรับขึ้นของดัชนีจึงต้องเผชิญกับแรงขายทำกำไรเป็นระยะ โดยคาดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าการเกษตรที่ได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ที่เติบโตต่อเนื่องในกลุ่ม BRIC ขณะที่อุปทานขาดหายจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) ทั้งนี้ แม้แนวโน้มของการปรับขึ้นของตลาดเอเชียจะยังคงดำเนินต่อไปในครึ่งแรกของปี 2554 จากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคภายในประเทศที่ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ตลอดจนผลกระทบจาก QE-2 และข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น US (ISM) EU (PMI) และJapan (IP) แต่ตลาดได้รับรู้การฟื้นตัวข้อมูลเศรษฐกิจในระดับสูงแล้ว ส่งผลให้มูลค่า (Valuations) ปรับตัวสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ย 5 ปี อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกลยุทธ์มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดปานกลางจาก USD Index ที่อ่อนค่าน่าจะช่วยพยุง ดัชนีไม่ให้ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,000 จุดในเดือนนี้ ขณะที่การปรับขึ้นต่อไปของดัชนีจะเกิดขึ้นจาก Fund Flows เป็นหลัก ซึ่งเป้าหมายของดัชนีปีนี้คาดไว้ที่ 1,040 จุดบนสมมุติฐาน PE ที่ 13.5 เท่า การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth)ที่ 10% และกรณีดีที่สุดอยู่ที่ 1,208 จุด บนสมมุติฐาน PE ที่ 15 เท่า การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น 15% ทั้งนี้ ความเสี่ยงและความผันผวนดังกล่าวทำให้ฝ่ายกลยุทธ์มีการปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยพอร์ตลงทุนระยะกลางให้รอซื้อที่ระดับ 1,020 จุด สำหรับกลยุทธ์หลักเปลี่ยนเป็น “ซื้อเก็งกำไรรายตัว” โดยกำหนดน้ำหนักเงินทุนสำหรับพอร์ตการเก็งกำไรที่ระดับ 20% ของพอร์ตรวม อีก 80% ถือเงินสดรอการเข้าซื้อหุ้นกลับสำหรับพอร์ตระยะกลาง ทั้งนี้ การเลือกหุ้นในพอร์ตการเก็งกำไรควรตั้งอยู่บนสมมุติฐานของแนวโน้มการลงทุน (Investment Themes) โอกาสการปรับตัวของราคาหุ้น (Upside) และหุ้นที่มีแรงกระตุ้น (Catalysts) อย่างใดอย่างหนึ่ง และควรกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ด้วย โดยฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นน่าสนใจ อาทิ กลุ่มแบงก์ KTB, KBANK กลุ่มพลังงาน TOP, IRPC กลุ่มสื่อสาร TRUE กลุ่มขนส่ง BTS, THAI กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TTCL, STEC กลุ่มเหมืองแร่ LANNA, PDI oนอกจากนี้ ยังแนะนำซื้อเก็งกำไรใน TVO, LST และ KSL เนื่องจากยังมีมุมมองเชิงบวกต่อน้ำตาล, ถั่วเหลือง, ปาล์ม จากอุปสงค์และอุปทานที่กล่าวมาข้างต้น ขณะที่ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้น 40.6% ถือเป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากฟิลิปปินส์ที่ปรับตัวขึ้น 44.7% และอินโดนีเซียที่ 41% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าการเมืองในประเทศจะยังคงมีเสถียรภาพต่อไป และรัฐบาลจะอยู่จนครบวาระ โดยมองว่านโยบายประชาภิวัฒน์ของรัฐบาลมีพื้นฐานใกล้เคียงกับนโยบายประชานิยมจะเกิดขึ้นในขนาดวงเงินที่สูงขึ้น และจำนวนโครงการที่หลากหลายขึ้นเพื่อสร้างความนิยมในกลุ่มคนในชนบท แต่จะส่งผลดีทำให้รายได้ประชาชนส่วนภูมิภาคเพิ่มขึ้น สินค้าการเกษตรปรับขึ้น การลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการบริโภคในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดย : บริษัท มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ในนาม บริษัทโกลเบล็ก กรุ๊ป : รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ นาถฐิตา นัคราบัณฑิต (จอย) , สมพร เจนเขา (ปุ๊ก) โทร: 02-664-4233, Fax: 02-664-4232 E-mail: mediaplannerconsult@hotmail.com, media-planner@hotmail.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ