
- ผลการศึกษาฉบับล่าสุดได้เสนอกลยุทธ์สำคัญ 8 ประการ เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของเมือง
- ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ โดยการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนในประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
- กรุงเทพฯ มีความโดดเด่นใน 4 ด้านจากทั้งหมด 8 ด้าน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาสู่การเป็นมหานครที่มีบทบาทสำคัญในระดับนานาชาติ
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่โอกาสสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันระดับโลก และเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ผ่านการประยุกต์ใช้ Kearney's Global Cities Framework ที่เพิ่งเปิดตัว ผลการศึกษาฉบับใหม่ภายใต้ชื่อ Bridging a fragmented world: the road to becoming a global city นำเสนอแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมและมีความชัดเจนในการปฏิบัติ โดยมุ่งพัฒนาเมืองสู่การเป็นศูนย์กลางที่มีอิทธิพลระดับโลกด้วยกลยุทธ์สำคัญ 8 ประการ
กรอบการทำงานใหม่นี้ต่อยอดมาจาก Kearney's Global Cities Index (GCI) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การปรับใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับบริบท การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การเติบโตอย่างทั่วถึงและครอบคลุม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ได้รวบรวมแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศจากทั่วโลกและกรณีศึกษาต่าง ๆ มาเป็นแนวทางสนับสนุน
กลยุทธ์สำคัญทั้ง 8 ด้านที่จะช่วยยกระดับเมืองสู่การเป็นมหานครระดับโลก แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือวิสัยทัศน์และพันธกิจ ซึ่งเป็นตัวกำหนดทิศทางและเป้าหมายโดยรวมของการพัฒนาเมือง ส่วนที่สองคือเสาหลัก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองสู่การเป็นผู้นำระดับโลก และส่วนสุดท้ายคือปัจจัยสนับสนุน ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณชาญชัย ถนัดค้าตระกูล กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Kearney ?กล่าวว่า "Kearney ได้วางกรอบการทำงานด้านเมืองระดับโลก เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย ประกอบกับนโยบายเชิงรุกของภาครัฐและข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ที่มีอยู่ ทำให้กรุงเทพฯ มีศักยภาพพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นทั้งศูนย์กลางระดับภูมิภาคและผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจโลก"
คุณชาญชัยกล่าวเสริมว่า "ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นความก้าวหน้าของประเทศไทยในสามด้านสำคัญ ได้แก่ เงินทุน บุคลากรที่มีความสามารถ และความร่วมมือ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว นอกจากการรักษาจุดแข็งพื้นฐานแล้ว กรุงเทพฯ ยังสามารถต่อยอดจุดแข็งเหล่านี้เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกต้องการ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนเช่นปัจจุบัน"จุดแข็งของกรุงเทพฯ ใน 4 ด้านยุทธศาสตร์หลัก
กรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่โดดเด่นใน 4 ด้านสำคัญ ดังนี้:
- ด้านสังคมและแรงงาน
กรุงเทพฯ มีระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมประชากรถึง 99.9% ในปี 2567 ระบบคลัสเตอร์หน่วยบริการปฐมภูมิ (Primary Care Cluster: PCC) ช่วยกระจายการบริการรอบศูนย์สุขภาพชุมชน ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น ลดความแออัดในโรงพยาบาล และยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณสุขโดยรวม ส่งผลให้เมืองมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงระยะยาว
- ด้านการท่องเที่ยวและแบรนด์
กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจยามค่ำคืน ผ่านการดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้าน อาทิ การขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานประกอบการ การยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย และการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและการท่องเที่ยว
การพัฒนากรุงเทพฯ สู่การเป็นศูนย์กลางอาหารระดับโลก ได้ช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โครงการ Michelin Guide Thailand ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ด้วยงบประมาณปีละ 820,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นทั้งภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารระดับพรีเมียม ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ ภายในปี 2565 โครงการนี้สามารถสร้างรายได้สูงถึง 223 ล้านบาท (คิดเป็น 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กรุงเทพฯ ก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
- ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
การพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองสามารถทำได้โดยใช้วิธีการระดมทุนที่สร้างสรรค์ และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลไทยที่สนับสนุนให้สถานที่เอกชน อาทิ อาคารสำนักงาน เปิดพื้นที่สีเขียวให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนจัดซื้อที่ดินขนาดใหญ่
โครงการ "15-Minute Pocket Park" เป็นแนวคิดที่สร้างแรงจูงใจให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นำที่ดินที่ไม่ได้ใช้งานมาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็ก โดยภาครัฐสนับสนุนผ่านมาตรการยกเว้นภาษีและร่วมมือกับภาคเอกชนในการดำเนินงาน ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความสมดุลของระบบนิเวศในเมืองอีกด้วย
- ด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม
ประเทศไทยมีมาตรการจูงใจที่โดดเด่นสำหรับภาคเอกชนในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีการยกเว้นภาษีสูงสุด 13 ปี สิทธิประโยชน์การหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาถึง 200% รวมถึงความยืดหยุ่นในด้านวีซ่าและการถือครองที่ดิน มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม แต่ยังผลักดันให้กรุงเทพมหานครก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านการวิจัยที่มีศักยภาพสูง
จากผลการศึกษาพบว่า เมืองที่สามารถบูรณาการองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ เงินทุน บุคลากรที่มีความสามารถ ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน วิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้า และจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง จะสามารถกำหนดทิศทางของตนเองในเวทีโลกได้
สำหรับกรุงเทพฯ เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่การเป็นเมืองที่มีความยืดหยุ่นเท่านั้น แต่ต้องมุ่งสู่การเป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม