กรุงศรีเผยบทความวิจัยเรื่อง "ดอกเบี้ยนโยบายปี 55... ขึ้นก็ยาก ลงก็ลำบาก"

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 23, 2012 18:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ม.ค.--ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กลางปี 2553 นับเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นรอบล่าสุด โดยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของทางการที่จะเคลื่อนตัวจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ เพื่อกลับเข้าสู่สภาวะปกติ (Normalization) หลังเศรษฐกิจไทยแสดงสัญญาณการฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยสามารถฝ่าฟันผลกระทบทางลบทั้งจากวิกฤตซับไพร์มและความโกลาหลทางการเมืองที่เกิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า ท่ามกลางสัญญาณการเร่งตัวของเงินเฟ้อเด่นชัดขึ้น โดยนับจากเดือนกรกฎาคม 2553 เป็นต้นมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทำการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องแทบทุกครั้งของการประชุม จากระดับต่ำสุดที่ 1.25% มายืนอยู่ในระดับสูงสุดที่ 3.50% ในเดือนสิงหาคม 2554 ก่อนมหาอุทกภัยช่วงปลายปีที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้น จะส่งผลกดดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอย่างหนักหน่วงจนทำให้กระแสการปรับเพิ่มดอกเบี้ยสะดุด โดย กนง.ได้ตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในคราวประชุมเดือนตุลาคม จนกระทั่งหันเหทิศทางสู่การปรับลดดอกเบี้ยเมื่อการประชุมคราวล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจและครัวเรือน ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้ยืนอยู่ที่ 3.25% ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายนับจากนี้จะเป็นเช่นไร?... เรายังคงอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น?...หรือเริ่มกลับสู่ขาลงแล้ว?... ซึ่งในมุมมองของวิจัยกรุงศรีเห็นว่าขณะนี้ กนง.กำลังยืนอยู่ในจุดที่เป็น “ทางแพร่งของการดำเนินนโยบายการเงิน” ที่กำลังถูกบีบคั้นด้วยความเสี่ยงสูงทั้งทางด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและทางด้านเสถียรภาพของระดับราคา จนอาจทำให้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายนับจากนี้ตกอยู่ในภาวะ “ขึ้นก็ยาก ลงก็ลำบาก” กล่าวคือ ? ความเสี่ยงด้านการเจริญเติบโตมีอยู่มาก... ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจไทยในปี 2555 อาจขยายตัวได้ในอัตรา 4-5% แต่ก็เป็นการเติบโตขึ้นในสภาพที่ไม่ค่อยปกติ โดยมาจากเม็ดเงินที่ใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลทั้งต่อภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ภาระการใช้จ่ายที่ผุดขึ้นมากมายโดยมิได้คาดหมายมาก่อนดังกล่าว อาจส่งผลเบียดเบียนศักยภาพการใช้จ่ายในวัฏจักรการบริโภคและการลงทุนตามปกติที่เคยมีแนวโน้มที่ดีในช่วงก่อนเกิดมหาอุทกภัย และทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนโดยรวมยังอยู่ในระดับไม่เข้มแข็งนัก นอกจากนี้ โอกาสการเติบโตของไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวอย่างแรงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่แน่ชัดว่าปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปจะรุนแรงเพียงใดหรือจะบานปลายกลายเป็นวิกฤตการเงินโลกหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นเศรษฐกิจยูโรโซนเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ซึ่งจะมีผลกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและไทยในระดับหนึ่ง ดังนั้น โอกาสการปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้จึงมีน้อย ? แรงกดดันเงินเฟ้อยังสูง...ดอกเบี้ยลงลำบาก หลายฝ่ายมองว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อในระยะนี้ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้าง เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดปรับลดลง และความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายยังถูกบั่นทอนหลังเพิ่งพ้นจากวิกฤตน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีประเมินว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation expectation) ก็พร้อมที่จะปรับตัวเร่งขึ้นเมื่อใดก็ตามที่ความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีสัญญาณผ่อนคลาย สำหรับปัจจัยขับดันที่สำคัญ ได้แก่ 1) นโยบายประชานิยมและมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมของทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราสูงที่จะเริ่มในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่จะทยอยเข้มข้นขึ้นในระยะต่อไป 2) การทยอยปรับเพิ่มราคาพลังงาน ทั้ง LPG ภาคขนส่ง และ NGV ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา โดยจะปรับขึ้นต่อเนื่องทุกเดือนเป็นเวลา 12 เดือน 3) ราคาอาหารสำเร็จรูปที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากในช่วงก่อนหน้าและมีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้งยังอาจมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะราคาข้าวในประเทศที่อาจเพิ่มขึ้นโดยผลจากโครงการรับจำนำข้าวในราคาสูง และ 4) ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัวสูง จากความตึงเครียดทางการเมืองในแถบตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ซึ่งจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีอยู่มากเช่นนี้ จึงเป็นข้อจำกัดในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในปี 2555 จากความเสี่ยงที่มีอยู่สูงทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อ จึงนับเป็นความท้าทายอย่างมากในการดำเนินโยบายการเงินของทางการในปีนี้ ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักจากระดับปัจจุบัน โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2555 จะอยู่ที่ระดับ 3.00-3.50% อย่างไรก็ตาม สำหรับในระยะสั้น การประชุม กนง. ในวันที่ 25 มกราคมนี้ ทางการน่าจะยังมีความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจมากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซนยังปกคลุมความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกและไทย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มองว่า ปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในไทยส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้ ทั้งนี้ ความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศอาจกดดันการใช้จ่ายภายในประเทศ ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะนี้บรรเทาลงบ้าง สอดคล้องกับตัวเลขอัตราเงินเฟ้อล่าสุดเดือนธันวาคม 2554 ที่ปรับลดสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนที่ 3.5% ซึ่งต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ ดังนั้น จึงอาจเปิดทางให้ กนง. สามารถจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งในการประชุมที่จะถึงนี้ในอัตรา 0.25% มาสู่ 3.00% เพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวดีขึ้น บทความโดยฝ่ายวิจัย บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ