บล.ไทยพาณิชย์จัดสัมมนาแนะลงทุนอย่างมีหลักการ มั่นใจหุ้นไทยไปต่อในไตรมาส 4

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 6, 2012 10:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ส.ค.--ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ด้วยความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดสัมมนา “ที่สุดนักกลยุทธ์ VS ที่สุดนักวิเคราะห์” นำทีมนักกลยุทธ์และนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมรางวัล SAA Awards 2011 จากค่ายไทยพาณิชย์เผยกลยุทธ์การลงทุน พร้อมเจาะลึกกลุ่มอุตสาหกรรมเด่น เพื่อช่วยแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตอย่างมีหลักการ นายสุกิจ อุดมศิริกุล นักกลยุทธ์ยอดเยี่ยม สายผู้ลงทุนรายย่อย ประเมินตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนสิงหาคม — กันยายน 2555 ยังอยู่ในช่วงผันผวน เนื่องจากแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ช่วงการชะลอตัวและรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ทั้งนี้ ความเสี่ยงสำคัญในช่วง 2 เดือนนี้ ได้แก่ เศรษฐกิจจีนที่มีโอกาสชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ตลอดจนวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ยังเกิดต่อเนื่อง รวมถึงอุณหภูมิการเมืองไทยที่จะกลับมาร้อนแรงมากขึ้นในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงของการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไป ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนในกรอบ 1,100-1,250 จุด แต่ยังคงเป้าหมาย SET index ปี 2555 ไว้ที่ 1,300 จุด เนื่องจากการคาดการณ์ว่าความไม่แน่นอนทั้งหมดจะมีความชัดเจนในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นโอกาสของการซื้อหุ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยแนะนำ ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง และ พลังงาน ส่วนนักลงทุนระยะสั้น แนะนำให้เลือกซื้อหุ้นรายตัวมากกว่าการลงทุนตามทิศทางของตลาด หุ้น Top Picks คือ AOT BECL QH INTUCH และ KBANK นางยุพเรศ ลิขิตแสนสุข นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง เผยยอดขายบ้านในครึ่งแรกปี 2555 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 53% จากครึ่งหลังของปีก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เป็นการยืนยันการฟื้นตัวของอุปสงค์บ้าน โดยยอดขายคอนโดสูงถึง 33,000 ยูนิต นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์คิดเป็น 64% ของยอดขายรวม รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 21% บ้านเดี่ยว 12% และบ้านแฝด 3% ยอดขายคอนโดที่สูงมากในครึ่งปีแรกมาจากการเปิดตัวจำนวนมากของคอนโดราคาประหยัด ส่วนแนวโน้มในครึ่งหลังปี 2555 เชื่อว่ายอดขายคอนโดจะลดลง เนื่องจาก LPN จะลดการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง ส่วนยอดขายทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง แนะนำซื้อ QH และ SPALI สำหรับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 2,300 ไร่ ในไตรมาสหนึ่งปีนี้ และเราคาดว่ายอดขายในไตรมาสสองจะลดลงเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากยอดขายของ AMATA และ HEMRAJ ลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายอดขายปีนี้จะเป็นไปตามที่เราคาดไว้คือ ประมาณ 9,000 ไร่ เติบโต 55% จากปีก่อนโดยยอดขายหลักๆ จะมาจาก AMATA HEMRAJ และ ROJNA ปัจจัยสนับสนุนยอดขายที่ดินปีนี้ได้แก่ การย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนญี่ปุ่นมาประเทศไทยเนื่องจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น ค่าเงินเยนแข็งค่า และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นจุดดึงดูดให้นักลงทุนมาลงทุนก่อนการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 แนะนำซื้อ AMATA และ HEMRAJ นางศลยา ณ สงขลา นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม กลุ่มสื่อสาร กล่าวว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ผ่านระบบใบอนุญาตใหม่โดยคณะกรรมการ กสทช. ซึ่งได้จัดสรรใบอนุญาตใหม่ธุรกิจดาวเทียมไปแล้ว และมีแผนจัดประมูลคลื่นความถี่ 2.1 GHz ควบคู่กับการจัดสรรใบอนุญาตใหม่สำหรับบริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี มีกำหนดในเดือนตุลาคมนี้ อันจะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 มิติ 1) ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงขยายธุรกิจและบริการ หรือยอดขาย และ 2) โอกาสลดต้นทุนค่าธรรมเนียมต่อหน่วยหลังทยอยโอนย้ายจากสัญญาสัมปทาน ซึ่งมีการจัดเก็บส่วนแบ่งรายได้ในอัตรา 20-30% ไปยังระบบใบอนุญาตใหม่ โดยมีค่าธรรมเนียมรวม 6% หุ้นที่ชอบที่สุด ได้แก่ INTUCH และ DTAC นางสาวกิตติมา สัตยพันธ์ นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยม กลุ่มธนาคาร เปิดเผยว่า แม้กลุ่มธนาคารปรับตัว Outperform SET อยู่เล็กน้อย แต่ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าหุ้น domestic play กลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มพาณิชย์ และไอซีที โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีผลการดำเนินงานโดดเด่นในปีนี้ จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง โดยประมาณการของเราอยู่ที่14% เนื่องจากได้รับอานิสงค์จากการเติบโตของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่เร่งตัวขึ้น รวมทั้งการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการเร่งตัวขึ้นของการลงทุนภาครัฐ นอกจากนั้นรายได้ค่าธรรมเนียมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นหลังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่เพียงเล็กน้อยเลือก KBANK เป็นหุ้น top pick ในกลุ่มธนาคาร เพราะ 1) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง 2) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะปรับตัวลดลงเมื่อเสร็จสิ้นการอัพเกรดระบบไอที และ 3) สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งจากการฟื้นตัวของความต้องการสินเชื่อธุรกิจ SME

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ