TMC เคาะราคาไอพีโอ 3.90 บ. ฤกษ์ดีเข้าเทรด 26 ต.ค.นี้ มั่นใจขายเกลี้ยง ชูจุดเด่นพื้นฐานแกร่ง-อุตฯ ยานยนต์หนุน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 16, 2012 15:37 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 ต.ค.--IR network TMC เคาะขายไอพีโอ 3.90 บ. แจกส่วนลด 25.84% ได้ฤกษ์ลงสนามเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันที่ 26 ต.ค.นี้ พร้อมแต่งตั้ง บล. ฟินันเซีย ไซรัส เป็นแกนนำจัดจำหน่ายหุ้นร่วมกับโบรกเกอร์ชั้นนำอีก 5 แห่ง ประสานเสียงที่ปรึกษาทางการเงิน การันตีด้วยศักยภาพของธุรกิจที่อนาคตสดใส บวกกับผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี และผลจากการเดินสายโรดโชว์นักลงทุนให้ความสนใจเพียบ ทำให้มั่นใจเปิดจองหุ้นระหว่างวันที่ 17-19 ต.ค.นี้ กระแสตอบรับดีเยี่ยม ขณะที่ “สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข” เผยนำเงินสร้างโรงงานใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ขยายตัว นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ที.เอ็ม.ซี. อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (TMC) เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 85 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในราคาหุ้นละ 3.90 บาท และราคาหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่พนักงานของบริษัทจำนวน 5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.12 บาท คิดเป็นส่วนลดจากราคา IPO 20% ซึ่งหุ้นในส่วนที่จัดสรรให้แก่พนักงานดังกล่าวจะถูกห้ามขาย (Lock-up Period) เป็นเวลา 3 เดือน โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นจำนวน 90 ล้านหุ้น ในระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคมนี้ และคาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 26 ตุลาคม 2555 พร้อมกันนี้บริษัทยังมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน “การกำหนดราคาไอพีโอของ TMC ที่ 3.90 บาทต่อหุ้นนั้น มีส่วนลดให้กับนักลงทุนผู้จองซื้อ 25.84% เมื่อเทียบกับค่าพีอีเรโชว์ ของตลาดหลักทรัพย์ mai ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2555 อยู่ที่ 18.53 เท่า เมื่อผนวกกับพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท และแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัท รวมทั้งผลการโรดโชว์ที่หาดใหญ่ เชียงใหม่ กรุงเทพฯ และชลบุรีในช่วงที่ผ่านมา ที่มีนักลงทุนเข้าร่วมรับฟังข้อมูลเป็นจำนวนมาก ทำให้เชื่อว่าเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้น TMC จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี" นายสมภพกล่าว นายสุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (TMC) กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังเป็นขาขึ้น โดยส่วนหนึ่งของเงินระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปสร้างโรงงานแห่งที่ 3 จากปัจจุบันโรงงานทั้ง 2 แห่ง ผลิตเต็ม 100% ซึ่งไม่เพียงพอกับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นรายได้หลักกว่า 50% ซึ่งมีออร์เดอร์เข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและชำระคืนเงินกู้ยืม เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% สำหรับโรงงานแห่งใหม่แบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟส 1 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/2556 และเฟส 2 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายหลังเฟสที่ 1 แล้วเสร็จ โดยมีพื้นที่ใช้สอย เฟสละ 4,800 ตารางเมตร รวม 2 เฟส 9,600 ตารางเมตร ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถวางแผนผังสายการผลิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและใช้เวลาในการผลิตน้อยลง ด้านนายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวถึงการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอของ TMC ว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทที่ธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง เนื่องจาก TMC มีจุดแข็งตรงที่มีความโดดเด่น และมีแนวโน้มการเติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงสดใสตามยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันที่ผ่านมาผลประกอบการก็มีอัตราการขยายตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ดังนั้นจึงทำให้มั่นใจว่าหุ้นไอพีโอของ TMC จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม เมื่อเปิดให้จองซื้อและคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนด้วย ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้และกำไรสุทธิของ TMC เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2552 มีรายได้รวม 367.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 474.45 ล้านบาท ในปี 2553 และ 675.24 ล้านบาทในปี 2554 ขณะที่งวดครึ่งแรกของปี 2555 มีรายได้รวม 437.06 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในปี 2552 อยู่ที่ 11.89 ล้านบาท ปี 2553 อยู่ที่ 11.35 ล้านบาท และปี 2554 มีกำไรสุทธิ 32.42 ล้านบาท ขณะที่งวดครึ่งแรกของปี 2555 มีกำไรสุทธิ 59.09 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ