ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่มีประกัน “บ. เอ็ม บี เค” ที่ “A/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 22, 2013 16:46 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงการมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต รวมถึงความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินฉบับใหม่สำหรับศูนย์การค้าของบริษัทเริ่มมีผลในทางปฏิบัติในปี 2556 ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และยังคาดด้วยว่าบริษัทจะรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อของธุรกิจการเงินเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ดีจากการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด บริษัทเอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 ปัจจุบัน บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่มธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ตลอดจนโรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาที่อยู่อาศัย ธุรกิจข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่านสยามสแควร์ในใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอันได้แก่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยในปี 2555 สินทรัพย์ดังกล่าวสร้างรายได้ประมาณ 32% และสร้างกระแสเงินสดประมาณ 52% ให้แก่บริษัท เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ บริษัทจึงขยายการลงทุนในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้กลับมาเปิดให้บริการพื้นที่ให้เช่าใน “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค” ในปี 2553 และได้เปิด “เดอะ ไนน์” ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรกของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ในปี 2554 นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าในย่านสยามสแควร์ โดยบริษัทสยามพิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ซึ่งมีพื้นที่ 19,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ (23,200 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (191,000 ตร.ม.) ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกรวม 202,091 ตร.ม. และพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 56,044 ตร.ม. สำหรับธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและให้บริการโรงแรม 6 แห่งในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย โดยมีจำนวนห้องพักรวม 964 ห้อง ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ 83.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 และอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 3.3% สู่ระดับ 3,290 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 ส่งผลให้อัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room - RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2,311 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 เป็น 2,755 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 สำหรับธุรกิจให้บริการทางการเงินนั้น บริษัทซื้อกิจการของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในปี 2553 โดย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทที ลีสซิ่งมียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้าง 2,063 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 5.5% ณ เดือนมีนาคม 2556 นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้วย โดย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันรวม 3,689 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ที่ 54% ทั้งนี้ บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อไปพร้อม ๆ กับการขยายขนาดสินเชื่อ ในปี 2555 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 8,097 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 30.0% ในปีบัญชี 2554 (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2554) เป็น 33.2% ในปี 2555 เนื่องจากการปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีรายได้ 2,317 ล้านบาทและมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 37.3% อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 เป็นต้นไป บริษัทต้องจ่ายค่าเช่าประจำปีของศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ เพิ่มขึ้นจาก 85 ล้านบาทเป็น 695 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทจะลดลงหากบริษัทไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้เช่าได้ทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยกับภาระค่าเช่าที่ดินที่สูงขึ้นซึ่งจะช่วยปรับปรุงอัตรากำไรให้ดีขึ้น เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,086 ล้านบาทในปีบัญชี 2554 สู่ระดับ 2,479 ล้านบาทในปี 2555 และอยู่ที่ระดับ 962 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 9,206 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เป็น 10,071 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 22.7% ในปีบัญชี 2554 เป็น 24.8% ในปี 2555 และอยู่ที่ระดับ 9.6% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 42.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เป็น 35.5% ณ เดือนมีนาคม 2556 สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนมีนาคม 2556 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 4,607 ล้านบาท ในขณะที่เงินลงทุนในหลักทรัพย์มีมูลค่า 6,955 ล้านบาท บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK) อันดับเครดิตองค์กร: A อันดับเครดิตตราสารหนี้: MBK137A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 A MBK163A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A MBK188A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A MBK188B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 A MBK227A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A MBK229A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A MBK229B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A MBK27NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ