ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “HKL” ที่ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 7, 2018 17:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ Hattha Kaksekar Limited (HKL) ที่ระดับ "BBB+" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเพื่อสะท้อนสถานะการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ "AAA" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" จากทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านการดำเนินธุรกิจและทางด้านการเงินในฐานะที่เป็นบริษัทลูกที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาถือหุ้นทั้งหมด อนึ่ง อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและเครือข่ายสาขาของบริษัทที่ครอบคลุมทั่วประเทศในกัมพูชา ตลอดจนการมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย และระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงระดับประเทศของราชอาณาจักรกัมพูชา ตลอดจนความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ และการแข่งขันที่สูงในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ล้วนเป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตองค์กร นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทยังมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่การเสื่อมถอยของคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงหลังก็แสดงถึงแนวโน้มที่น่ากังวลด้วยเช่นกัน ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต เป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา HKL เป็นหน่วยธุรกิจที่ให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในประเทศกัมพูชา โดยบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาโดยพิจารณาจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารและเชื่อว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงินและสภาพคล่องที่เพียงพอจากธนาคารหากต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากทางการเงิน บริษัทได้รับการควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นไปตามแนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่มที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการของบริษัทประกอบด้วยผู้บริหารระดับอาวุโสจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา 5 คน กรรมการอิสระ 3 คน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภายใต้แนวทางดังกล่าวของ ธปท. ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถให้การสนับสนุนทางด้านการเงินได้อย่างเต็มที่แก่บริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่ม Solo Consolidation ซึ่งรวมถึง HKL ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เพียงพอต่อแผนการขยายธุรกิจ บริษัทยังได้รับประโยชน์ในด้านอื่น ๆ จากการมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาด้วย ได้แก่ องค์ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งระบบบริหารความเสี่ยงและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีบูรณาการร่วมกัน ประโยชน์เหล่านี้ได้ช่วยยกระดับสถานะทางการแข่งขันและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแล บริษัทอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศกัมพูชา (National Bank of Cambodia -- NBC) ในฐานะสถาบันการเงินที่ให้บริการสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝาก (Microfinance Deposit Taking Financial Institution -- MDFI) บริษัทได้รับใบอนุญาต MDFI ในปี 2553 ซึ่งอนุญาตให้บริษัทสามารถรับเงินฝากจากสาธารณะซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำได้ จากเกณฑ์ที่กำหนดโดย NBC สถาบันการเงินที่จะให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์และรับเงินฝากได้จะต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 120,000 ล้านเรียล หรือประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ NBC ยังกำหนดด้วยว่าสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance Institution -- MFI) จะต้องคิดดอกเบี้ยไม่เกิน 18% ต่อปีสำหรับสินเชื่อที่ปล่อยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นไป การกำหนดเพดานดอกเบี้ยนี้น่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินให้สินเชื่อของทั้ง MFI และ MDFI มีแนวโน้มลดลง อนึ่ง อัตราผลตอบแทนที่ลดลงจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรของ MFI ลดลงด้วยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงระดับประเทศของกัมพูชา HKL ดำเนินธุรกิจเฉพาะในประเทศกัมพูชาเท่านั้น อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทส่วนหนึ่งสะท้อนความเสี่ยงระดับประเทศของราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นประเทศรายได้ต่ำที่กำลังพัฒนาซึ่งมีการเติบโตสูง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product -- GDP) ของประเทศกัมพูชาเติบโตโดยเฉลี่ยประมาณ 7% ต่อปีจากปี 2554 จนถึงปี 2560 การใช้ระบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างกว้างขวางและแนวโน้มภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยเสี่ยง 2 ประการในอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ในขณะที่ความมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและเสถียรภาพทางด้านการเมืองก็เป็นปัจจัยเสี่ยงอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการพิจารณาความเสี่ยงระดับประเทศ ผลประกอบการทางการเงินดีขึ้นควบคู่ไปกับธุรกิจที่เติบโต เงินให้สินเชื่อของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2560 จาก 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2556 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีประมาณ 41% ในทำนองเดียวกัน กำไรสุทธิของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยค่อย ๆ เพิ่มสู่ระดับ 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2560 จาก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2556 ด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยกลับลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2.4% ในปี 2560 ลดลงจาก 4.7% ในปี 2556 ซึ่งการลดลงนี้เป็นผลมาจากการลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนดอกเบี้ยรับจากเงินให้สินเชื่อ คุณภาพสินเชื่อถดถอยลง สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 0.6% ในปี 2559 และ 1.1% ในปี 2560 จาก 0.1% ในปี 2558 โดยอัตราส่วนนี้อยู่ในระดับต่ำกว่า 0.1% ในปี 2556 และปี 2557 แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าอัตราส่วนนี้ของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาจากฐานลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง โดยบริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับประมาณ 150% ณ สิ้นปี 2560 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในปัจจุบัน ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะควบคุมคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ฐานทุนและสภาพคล่องทางการเงินอยู่ในระดับที่เพียงพอ บริษัทมีแหล่งเงินทุนหลักมาจากเงินฝากระยะสั้น บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นคิดเป็น 15.3% ของเงินทุนรวม ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีความไม่สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างระยะเวลาของเงินให้สินเชื่อและระยะเวลาของเงินฝากระยะสั้น ในขณะที่ความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องลดทอนลงเนื่องจากบริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาอย่างเพียงพอ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของ HKL ดีขึ้นโดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.6 เท่าในปี 2560 จาก 7.8 เท่าในปี 2559 การเพิ่มทุนของบริษัททำให้ทุนจดทำเบียนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มเป็น 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2560 จาก 6.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2559 โดยการเพิ่มทุนดังกล่าวเป็นไปเพื่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดซึ่งเป็นกฎระเบียบของทางการ แนวโน้มอันดับเครดิต แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าการดำเนินงานของบริษัทจะสอดคล้องควบคู่ไปกับกลยุทธ์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยแนวโน้มอันดับเครดิตสะท้อนสมมติฐานว่าบริษัทจะได้รับการสนับสนุนในระดับสูงจากธนาคารแม่อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยที่จะมีการควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทริสเรทติ้งยังคาดหวังด้วยว่าความสามารถในการทำกำไรและฐานทุนของบริษัทจะมีความแข็งแกร่งเพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงในเชิงลบของธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในประเทศกัมพูชา ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มหากบริษัทมีสถานะทางการตลาดที่ดีขึ้น รวมทั้งมีผลประกอบการทางการเงินที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องและสามารถควบคุมต้นทุนทางด้านสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการแข่งขันหรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงมุมมองของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่มีต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยา อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตก็อาจเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ