กรุงเทพ--4 ก.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม 2548) ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเยเมนอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศขององค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ครั้งที่ 32 ที่กรุงซานอา สาธารณรัฐเยเมน ภายหลังจากการเดินทางกลับจากการร่วมประชุมดังกล่าว สรุปสาระได้ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า การเดินทางเยือนเยเมน รวมทั้งการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสลามครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ดร. กันตธีร์ฯ ได้แจ้งผู้สื่อข่าวว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการทูตอย่างสร้างสรรค์ เชิงรุก เจาะลึก และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่ง การทีรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้ไปร่วมการประชุมของ OIC ครั้งนี้ และได้มีโอกาสพบปะหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือหัวหน้าคณะผู้แทนของประเทศต่างๆ เลขาธิการและเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ OIC และฝ่ายต่างๆ ระหว่างการประชุมครั้งนี้ ทำให้ประเทศสมาชิกของ OIC มีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย บรรดาประเทศสมาชิก OIC ต่างสนับสนุนประเทศไทยและยินดีที่รัฐบาลไทยได้ใช้แนวทางนโยบายที่สร้างสรรค์และโปร่งใสในการทำงานร่วมกับ OIC ทั้งนี้ รวมถึงการที่รัฐบาลไทยได้เชิญคณะผู้แทนเลขาธิการ OIC เยือนไทยเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ทำให้ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ องค์การ OIC ได้ย้ำท่าทีและความเข้าใจของ OIC ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น มิใช่มีสาเหตุจากความขัดแย้งทางศาสนา และ OIC ถือว่าเป็นกิจการภายในของประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เอกสารทั้งหมดที่เป็นผลออกมาจากการประชุมครั้งนี้ ในส่วนที่กล่าวถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ล้วนเป็นการกล่าวถึงในทางบวก ทั้งข้อมติของที่ประชุมและแถลงการณ์สุดท้ายของที่ประชุมครั้งนี้ ได้กล่าวถึงผลในเชิงบวกที่เกิดจากการเยือนประเทศไทยของคณะผู้แทนจาก OIC ระหว่างวันที่ 2-13 มิถุนายน 2548 และได้สะท้อนถึงการเจรจาหารืออย่างสร้างสรคค์และความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างประเทศไทย กับ OIC
เกี่ยวกับความร่วมมือต่อไปในอนาคตระหว่างประเทศไทยกับ OIC นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า OIC ได้เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา ซึ่งจะได้มีการหารือกันต่อไป
ดร. กันตธีร์ฯ ได้กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ได้มีโอกาสกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมของ OIC ซึ่งตนได้กล่าวเน้นความตั้งใจของฝ่ายไทยที่จะขอเป็นมิตรและหุ้นส่วนกับ OIC โดยเฉพาะในพัฒนาการใหม่ขององค์การ OIC ซึ่งต้องการจะมีบทบาททางเศรษฐกิจและการพัฒนามากขึ้น
2. นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร. กันตธีร์ฯ ก็ได้พยายามอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ให้ประชาคมระหว่างประเทศได้เข้าใจอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะประชาคมโลกมุสลิม นอกจากการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของ OIC ครั้งนี้แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้เดินทางไปเยือนอินโดนีเซีย มาเลเซีย จอร์แดน โอมาน ตุรกี เยเมน และบาห์เรน โดยได้พบกับทั้งผู้แทนภาครัฐและผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชนในประเทศดังกล่าว รวมทั้งได้เชิญประธานองค์การมุสลิม Nahdlatul Ulama (NU) ของอินโดนีเซียมาเยือนไทยด้วย ซึ่งการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมากับประเทศและฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ ได้รับผลเชิงบวกและสร้างสรรค์ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยในการติดต่อสัมพันธ์กับโลกอิสลาม และสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาในภาคใต้โดยสันติวิธี เพื่อความสมานฉันท์
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในระยะ 2 - 3 ปีหลังมานี้ ภาพของชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามในสายตาประชาคมโลกบางส่วน ได้ถูกบิดเบือนไปอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากการที่มีคนบางกลุ่มได้แอบอ้างใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างในการใช้ความรุนแรง ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงได้เน้นถึงความสำคัญของ “สารจากกรุงอัมมาน” ซึ่งเป็นความริเริ่มของประเทศจอร์แดนที่เน้นถึงสันติภาพ ความสมานฉันท์และขันติธรรมในศาสนาอิสลาม กับได้เน้นว่าจะต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของกลุ่มสายกลาง เพื่อต้านทานอิทธิพลของกลุ่มที่มีความคิดแบบสุดขั้ว
4. อนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงชี้แจงกรณีที่มีข่าวสถานีวิทยุ BBC อ้างว่า รัฐมนตรีต่างประเทศเยเมน ในฐานะประธาน ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสลามครั้งที่ 32 กล่าวว่า OIC จะส่งคณะผู้แทนมาเยือนไทยอีกนั้น อธิบดีกรมสารนิเทศแจ้งว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แท้ที่จริงข้อมติของ OIC ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมได้รับรองแล้วนั้น เพียงแต่รับทราบรายงานผลการเยือนประเทศไทยของคณะผู้แทน OIC เท่านั้น ส่วนแถลงการณ์สุดท้ายของที่ประชุม นั้น ก็ได้กล่าวแสดงความยินดีต้อนรับผลทางบวกของการเยือนดังกล่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายน และยังได้แสดงทัศนะด้วยว่า ผลเชิงบวกดังกล่าวนี้จะเป็นพื้นฐานทีดีสำหรับการปรึกษาหารือและการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่าง OIC และไทยต่อไป โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาภาคใต้โดยสันติวิธี
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
เมื่อวานนี้ (3 กรกฎาคม 2548) ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ดร. กันตธีร์ ศุภมงคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเยเมนอย่างเป็นทางการ และการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศขององค์การการประชุมอิสลาม (OIC) ครั้งที่ 32 ที่กรุงซานอา สาธารณรัฐเยเมน ภายหลังจากการเดินทางกลับจากการร่วมประชุมดังกล่าว สรุปสาระได้ดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า การเดินทางเยือนเยเมน รวมทั้งการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสลามครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ดร. กันตธีร์ฯ ได้แจ้งผู้สื่อข่าวว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการทูตอย่างสร้างสรรค์ เชิงรุก เจาะลึก และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่ได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่ง การทีรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้ไปร่วมการประชุมของ OIC ครั้งนี้ และได้มีโอกาสพบปะหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือหัวหน้าคณะผู้แทนของประเทศต่างๆ เลขาธิการและเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการ OIC และฝ่ายต่างๆ ระหว่างการประชุมครั้งนี้ ทำให้ประเทศสมาชิกของ OIC มีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย บรรดาประเทศสมาชิก OIC ต่างสนับสนุนประเทศไทยและยินดีที่รัฐบาลไทยได้ใช้แนวทางนโยบายที่สร้างสรรค์และโปร่งใสในการทำงานร่วมกับ OIC ทั้งนี้ รวมถึงการที่รัฐบาลไทยได้เชิญคณะผู้แทนเลขาธิการ OIC เยือนไทยเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ทำให้ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ องค์การ OIC ได้ย้ำท่าทีและความเข้าใจของ OIC ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น มิใช่มีสาเหตุจากความขัดแย้งทางศาสนา และ OIC ถือว่าเป็นกิจการภายในของประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เอกสารทั้งหมดที่เป็นผลออกมาจากการประชุมครั้งนี้ ในส่วนที่กล่าวถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ล้วนเป็นการกล่าวถึงในทางบวก ทั้งข้อมติของที่ประชุมและแถลงการณ์สุดท้ายของที่ประชุมครั้งนี้ ได้กล่าวถึงผลในเชิงบวกที่เกิดจากการเยือนประเทศไทยของคณะผู้แทนจาก OIC ระหว่างวันที่ 2-13 มิถุนายน 2548 และได้สะท้อนถึงการเจรจาหารืออย่างสร้างสรคค์และความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ระหว่างประเทศไทย กับ OIC
เกี่ยวกับความร่วมมือต่อไปในอนาคตระหว่างประเทศไทยกับ OIC นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า OIC ได้เสนอที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา ซึ่งจะได้มีการหารือกันต่อไป
ดร. กันตธีร์ฯ ได้กล่าวด้วยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ได้มีโอกาสกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมของ OIC ซึ่งตนได้กล่าวเน้นความตั้งใจของฝ่ายไทยที่จะขอเป็นมิตรและหุ้นส่วนกับ OIC โดยเฉพาะในพัฒนาการใหม่ขององค์การ OIC ซึ่งต้องการจะมีบทบาททางเศรษฐกิจและการพัฒนามากขึ้น
2. นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดร. กันตธีร์ฯ ก็ได้พยายามอธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ให้ประชาคมระหว่างประเทศได้เข้าใจอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะประชาคมโลกมุสลิม นอกจากการเข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของ OIC ครั้งนี้แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้เดินทางไปเยือนอินโดนีเซีย มาเลเซีย จอร์แดน โอมาน ตุรกี เยเมน และบาห์เรน โดยได้พบกับทั้งผู้แทนภาครัฐและผู้นำทางศาสนาและผู้นำชุมชนในประเทศดังกล่าว รวมทั้งได้เชิญประธานองค์การมุสลิม Nahdlatul Ulama (NU) ของอินโดนีเซียมาเยือนไทยด้วย ซึ่งการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมากับประเทศและฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ ได้รับผลเชิงบวกและสร้างสรรค์ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยในการติดต่อสัมพันธ์กับโลกอิสลาม และสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาในภาคใต้โดยสันติวิธี เพื่อความสมานฉันท์
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในระยะ 2 - 3 ปีหลังมานี้ ภาพของชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามในสายตาประชาคมโลกบางส่วน ได้ถูกบิดเบือนไปอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจากการที่มีคนบางกลุ่มได้แอบอ้างใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างในการใช้ความรุนแรง ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงได้เน้นถึงความสำคัญของ “สารจากกรุงอัมมาน” ซึ่งเป็นความริเริ่มของประเทศจอร์แดนที่เน้นถึงสันติภาพ ความสมานฉันท์และขันติธรรมในศาสนาอิสลาม กับได้เน้นว่าจะต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมบทบาทของกลุ่มสายกลาง เพื่อต้านทานอิทธิพลของกลุ่มที่มีความคิดแบบสุดขั้ว
4. อนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงชี้แจงกรณีที่มีข่าวสถานีวิทยุ BBC อ้างว่า รัฐมนตรีต่างประเทศเยเมน ในฐานะประธาน ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสลามครั้งที่ 32 กล่าวว่า OIC จะส่งคณะผู้แทนมาเยือนไทยอีกนั้น อธิบดีกรมสารนิเทศแจ้งว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แท้ที่จริงข้อมติของ OIC ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมได้รับรองแล้วนั้น เพียงแต่รับทราบรายงานผลการเยือนประเทศไทยของคณะผู้แทน OIC เท่านั้น ส่วนแถลงการณ์สุดท้ายของที่ประชุม นั้น ก็ได้กล่าวแสดงความยินดีต้อนรับผลทางบวกของการเยือนดังกล่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายน และยังได้แสดงทัศนะด้วยว่า ผลเชิงบวกดังกล่าวนี้จะเป็นพื้นฐานทีดีสำหรับการปรึกษาหารือและการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่าง OIC และไทยต่อไป โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความพยายามของไทยในการแก้ปัญหาภาคใต้โดยสันติวิธี
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-