คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในงานเลี้ยงระดมทุน 'ร่วมสร้างอนาคตใหม่เพื่อไทยทั้งแผ่นดิน'

ข่าวการเมือง Wednesday July 25, 2007 17:01 —พรรคประชาธิปัตย์

          คำต่อคำ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ในงานเลี้ยงระดมทุน “ร่วมสร้างอนาคตใหม่เพื่อไทยทั้งแผ่นดิน”
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา 21 กค. 2550
ท่านผู้มีเกียรติครับ ก่อนอื่นต้องกราบขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่ได้ให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และได้มาร่วมงานในค่ำคืนวันนี้ อยากจะขอเรียนว่า ที่จริงประมาณปีที่แล้วช่วงนี้ ผมก็มายืนอยู่ตรงนี้ในบรรยากาศที่อาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็เป็นบรรยากาศที่พวกเรารู้สึกขอบพระคุณ และซาบซึ้งในความสนับสนุนที่ทุกท่านมอบให้แก่เรา ผมหวังว่านะครับ ปีหน้า ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองคงไม่ต้องรบกวนท่านอีก (เสียงปรบมือ)
แต่ว่าขออนุญาตรายงาน เพราะว่าเมื่อปีที่แล้วในช่วงที่เราจัดงานกันนั้น ได้เกิดอุทกภัยที่ภาคเหนือ และวันนั้นผมก็ได้ประกาศไปว่า รายได้จำนวนหนึ่งนั้นพรรคจะได้ดำเนินการในการไปช่วยเหลือพี่น้องที่ภาคเหนือ ก็ขออนุญาตรายงานเพียงสั้น ๆ ว่า เราได้มอบรายได้ส่วนหนึ่งเป็นการช่วยเหลือโดยตรง โดยการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนได้มอบเงินช่วยเหลือผ่านทางกองทัพบกไปอีก 9 ล้านบาท และได้มอบเงินให้มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 20 ล้านบาท ซึ่งทางมูลนิธินั้นขณะนี้ได้จัดทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่ประสบกับปัญหาหลังจากเกิดอุทกภัย โดยเราจัดเป็นการศึกษาระยะยาว ซึ่งหมายความว่าดูแลเด็กจนกระทั่งเรียนจบปริญญา ซึ่งก็ได้มีการเดินทางไปโดยคณะของทางมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ และของพรรคประชาธิปัตย์ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เพราะฉะนั้นก็อยากจะกราบเรียนรายงานท่านทั้งหลายเพื่อขอแสดงความขอบคุณแทนพี่น้องที่ประสบอุทกภัยด้วย
ท่านผู้มีเกียรติครับ วันนี้เราอยู่ในสถานการณ์ของบ้านเมืองซึ่งยังไม่กลับคืนสู่ภาวะปกติ ปีที่แล้วเราเคยคาดหวังว่า บ้านเมืองจะสามารถหวนกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง แต่ว่าในที่สุดเราก็พบความจริงว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมรุนแรง จนกระทั่ง นำไปสู่เหตุการณ์ของการปฏิวัติ รัฐประหาร ขณะนี้ทางผู้เกี่ยวข้อง คือทางรัฐบาล และคมช. ก็ยืนยันว่า จะคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชนคนไทยภายในสิ้นปีนี้ และพี่น้องประชาชนทุกคน รวมทั้งท่านทั้งหลาย ก็จะได้ไปลงประชามติเพื่อที่จะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญในช่วงเดือนสิงหาคม ในวันที่ 19 ซึ่งเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จากขั้นตอนตรงนั้น ก็จะนำไปสู่การจัดทำกฎหมายเลือกตั้ง การจัดทำกฎหมายพรรคการเมือง และบ้านเมืองจะได้หวนคืนสู่สภาวะปกติ อย่างที่พวกเราต้องการจะเห็น
ผมเกริ่นนำในเรื่องนี้เพราะว่า วันนี้ผมเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ การร่วมสร้างอนาคตใหม่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยึดมั่นในวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวทางที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยึดถือ ยึดมั่นมาโดยตลอด ผมมั่นใจว่า จากการที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันแสดงความสนับสนุนพรรคในวันนี้ ผมถือได้ว่าเป็นการแสดงออกในการสนับสนุนเรื่องของวาระประชาชน เรื่องของแนวทางของพรรค ที่ได้ประกาศไปชัดเจนว่า ประชาชนต้องมาก่อน ผมมองไปรอบ ๆ เห็นเพื่อนจากวงการการเมือง เห็นท่านผู้มีเกียรติจากภาคธุรกิจ เห็นท่านผู้มีเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนในเรื่องของกิจกรรมทางการเมืองหลากหลาย มากมาย ผมอยากจะบอกว่า การที่ท่านทั้งหลายได้แสดงการสนับสนุนในวันนี้ พรรคยึดถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของการที่จะสร้างการเมืองใหม่ ประชาธิปัตย์จำเป็นต้องจัดงานอย่างนี้เพราะประชาธิปัตย์ต้องการให้พี่น้องประชาชนนั้นมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างแท้จริง เราเชื่อว่า พรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากเป็นเจ้าของจะมีความมั่นคง จะมีความแน่วแน่ ในการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน ดังนั้น ทุกบาท ทุกสตางค์ที่ท่านสนับสนุนในการจัดงานในค่ำคืนวันนี้ หรือการสนับสนุนอื่นใดนั้น ผมถือว่า ท่านได้มีส่วนร่วมสร้างการเมืองที่ดี การเมืองที่โปร่งใส การเมืองที่ยึดมั่นในธรรมาภิบาล และการเมืองของประชาชน
วันนี้ถ้าเราจะมาร่วมสร้างอนาคตใหม่ ที่ต้องเริ่มต้นตรงนี้เพราะผมอยากจะบอกว่า วันนี้พี่น้องประชาชนจำนวนมาก เสียกำลังใจ ขาดความเชื่อมั่น ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ ขณะนี้ หมุนอยู่กับความไม่เชื่อมั่น ความลวง ความไม่แน่นอน ผมมีโอกาสเดินทางไปพบปะกับนักธุรกิจทั้งในต่างประเทศ ทั้งในประเทศ พบปะพี่น้องประชาชนที่ประกอบอาชีพหลายต่อหลายสาขา ทุกคนก็พูดตรงกันว่า อยากจะเห็นความแน่นอนทางการเมือง อยากจะให้วิกฤตที่มันเป็นตัวทำลายโอกาสของประเทศมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี สิ้นสุดลง
ท่านทั้งหลายครับ พวกเราอาสาที่จะทำให้วิกฤตอันนี้ผ่านพ้นไป และทำให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่ดีกว่า ผมอยากได้ยินเสียงท่านทั้งหลายปรบมือเพื่อที่จะแสดงออกว่า เราต้องการสิ้นสุดวิกฤตที่ครอบงำประเทศมาช้านาน (เสียงปรบมือ)
เราต้องการให้สังคมไทย กลับมาเป็นสังคมที่ไม่มีความขัดแย้งรุนแรง เราต้องการให้ทุกฝ่ายกลับมาสู่กระบวนการที่เราจัดการกับปัญหาของเราโดยวิถีทางที่ทั่วโลกยอมรับ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ผมอยากจะกราบเรียนว่า การร่วมสร้างอนาคตใหม่ต้องเริ่มจากการเมืองในวิถีทางนี้ ขณะเดียวกันครับ ความไม่เชื่อมั่น ปัญหาต่าง ๆ ที่ค้างคาอยู่ในใจของพี่น้องทุกคน รวมทั้งหลายต่อหลายท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ คือปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซา ผมยังไม่พบกลุ่มไหนในประเทศ ในขณะนี้ ที่บอกกับผมว่า ทำมาค้าขายดี ธุรกิจดี มีความมั่นใจ พร้อมที่จะรุดเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ยกเว้นที่จังหวัดเดียวเท่านั้นแหละครับ ที่นครศรีธรรมราช ที่องค์จตุคาม รามเทพ ทำให้เศรษฐกิจยังไปได้ (เสียงปรบมือ)
แต่เราคงไม่สามารถทำให้ประเทศทั้งประเทศอยู่ในภาวะอย่างนี้ได้อีกต่อไป จะ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน ทุกเดือน ทุกวันที่ผ่านไปคือโอกาสที่สูญเสีย วันนี้เราเปิดหนังสือพิมพ์เราก็เห็นข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเงินบาทแข็ง การเลิกจ้าง ธุรกิจที่ซบเซา ปัญหาที่เป็นผลพวงของปัญหาเศรษฐกิจที่ตามมาทั้งสิ้น ถามว่าวันนี้เราจะเริ่มต้นเดินหน้ากันอย่างไร ที่จะนำความแข็งแกร่งกลับคืนสู่ประเทศไทย
ท่านทั้งหลายครับ นอกเหนือจากกระบวนการประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาแล้ว เวลานี้สิ่งที่เป็นคำถามอยู่ในใจทุกคน สิ่งที่เป็นตัวสร้างความลังเล ความไม่แน่นอน ในหมู่นักธุรกิจทั่วโลกก็ว่าได้ ก็คือ เขาถามว่า ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน ไม่เพียงเฉพาะปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับ นโยบายของประเทศไทย ในเรื่องเศรษฐกิจ
ผมเดินทางไปต่างประเทศ คำถามที่ตามมาเกี่ยวกับเรื่องนโยบายหลายเรื่อง ผมยอมรับว่า เราตอบยาก ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว มีปัญหาธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการ 30 เปอร์เซ็นต์ ต่อมามีข่าวคราวว่า เรากำลังจะแก้ไขกฎหมายเพื่อทำให้การลงทุนจากต่างประเทศทำได้ยากขึ้น หรือผู้ประกอบการต่างประเทศที่อยู่ในที่นี้อาจจะไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ เรายังมีความขัดแย้งในเชิงนโยบาย การส่งสัญญาณที่ทำให้ทั่วโลกลังเลว่า ประเทศไทยของเรา เศรษฐกิจของเรา ยังเหมือนเดิมหรือไม่
เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ครับ ในที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ผมได้ประกาศนโยบายที่เราเรียกว่า “วาระประชาชน” ผมพูดชัดครับว่า ในความคิดของพวกเรา วันนี้ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เราหมก เราเลี่ยง เราซ่อน จากความเป็นจริงที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกไม่ได้ เราต้องพร้อมที่จะเผชิญ และผมมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในขีดความสามารถของคนไทย ว่าเราทำได้ หลายท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ท่านได้ต่อสู้ ท่านได้แข่งขัน ท่านได้แสดงให้เห็นว่า คนไทยไม่เป็นรองใคร เราอย่ากลัวครับ เราต้องกล้าเผชิญปัญหานี้ เชื่อมั่นในตัวของเรา แต่แน่นอนที่สุด เราต้องการรัฐบาล เราต้องการการนำที่จะทำให้คนของเรานั้น มีความพร้อม มีความเข้มแข็งที่สุด การบริหารจัดการการเมืองของเราต้องเปลี่ยน ผมเห็นการแก้ปัญหาในปัจจุบันแล้ว ผมก็รู้สึกว่าท่านทั้งหลายคงอึดอัด เวลาเกิดปัญหาซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนแทบจะเรียกว่า เข้าขั้นวิกฤตอย่างกรณีของค่าเงิน เรายังไม่สามารถหาคำตอบได้ เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ 2 สัปดาห์ ผมคิดว่าการบริหารจัดการอย่างนี้ในยุคนี้มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
มาตรการที่จะทำให้มีการผ่อนคลายการไหลเข้าออกของเงินทุน การจะประกาศว่าประเทศไทยจะลงทุนเพื่อนำเข้าสินค้าเพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงินบาท ที่จะแข็งขึ้น การสนับสนุนให้ธุรกิจไทยที่มีหนี้ต่างประเทศใช้หนี้ล่วงหน้า สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรอ ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง ผ่านคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่ครับ ยุคนี้สมัยนี้การตัดสินใจในเรื่องอย่างนี้ต้องทำได้อย่างเฉียบพลัน มาตรการที่พวกเราประชาธิปัตย์เสนอมาตั้งแต่ก่อนสิ้นปีที่แล้ว ก็คือการปรับนโยบายการเงินการคลังให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการใช้การลดอัตราดอกเบี้ยนำตลาด ก็ปรากฏว่า ไม่ได้เกิดขึ้น ทุกครั้งกลายเป็นว่าเราต้องรอว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน กำหนดการประชุมไว้เมื่อไหร่ ต้องรอให้ถึงวันนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจ กว่าจะถึงวันนั้น ตลาดเงิน ตลาดทุน วงการธุรกิจเขาก็คาดหมาย คาดการณ์หลายสิ่งหลายอย่างไปล่วงหน้า พอตัดสินใจจริง ผลในทางจิตวิทยาไม่เกิด ผมคิดว่าการแก้ปัญหาที่มีปัญหาอย่างนี้ สะท้อนสภาพการเมืองที่ผู้บริหารซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้มาตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ทุกข์ร้อนเท่าที่ควรกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้น และไม่ใช่เฉพาะในเรื่องธุรกิจนะครับ เหมือนในช่วงที่ผ่านมาเกิดภัยภิบัติ น้ำท่วม หรือภัยแล้ง เราก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน เมื่อไม่มีกลไกต่าง ๆ ที่เป็นการเมืองอาชีพเข้าไปเร่งรัด เข้าไปดูแล เพราะต้องทุกข์ร้อนไปกับประชาชน ตรงนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเราจะต้องเอากลับคืนมาโดยเร็ว หลังจากที่เรามีการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ก็ต้องยอมรับครับว่า การเมืองที่มีแต่ผลประโยชน์ของตน ของพวก ของพ้อง ก็ได้บั่นทอนขีดความสามารถของประเทศไปมาก พี่น้องที่เป็นนักธุรกิจหลายท่าน ก็แอบบ่นกับผมนะครับในยุคก่อนไม่กล้าบ่นอย่างเปิดเผยว่าการแข่งขันไม่เป็นธรรม ว่าต้องจ่ายเงินเสียสตางค์ให้นักการเมือง ทั้ง ๆ ที่ต้องการที่จะประกอบธุรกิจแข่งขันกันตามปกติ ตามความสามารถ การเมืองแบบนั้นก็ต้องสิ้นสุดลงครับ ถ้าเราอยากจะสร้างอนาคตใหม่ที่จะทำให้ประเทศไทยของเรานั้นมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมกราบเรียนกับท่านทั้งหลายเพื่อให้ความมั่นใจเกี่ยวกับแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือว่า
เราจะสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม เราจะไม่ให้ภาครัฐไปเป็นอุปสรรค ไปเป็นต้นทุนกับภาคธุรกิจ ผ่านกระบวนการทางการเมืองที่ทุจริต หรือการเมืองที่ไม่โปร่งใส ทิศทางนี้เป็นทิศทางที่เราจะบอกกับชาวโลก และเราจะยืนยันว่า จากนี้ไปประเทศไทยพร้อมที่จะค้าขาย พร้อมที่จะแลกเปลี่ยน พร้อมที่จะรับการลงทุนจากต่างประเทศ จุดเหล่านี้ คือจุดที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความเชื่อมั่นต้นปีหน้าไปสู่อนาคตของเศรษฐกิจที่ดีกว่า
แต่ท่านทั้งหลายครับ เท่านี้คงไม่พอ สิ่งที่จะทำให้เราสามารถก้าวเข้าสู่อนาคตใหม่ด้วยความมั่นใจนั้นก็คือเราต้องกลับมาประเมินตัวเอง ว่าเรามีจุดแข็งจุดอ่อนที่ไหน และเราจะทำอย่างไรที่จะให้คนของเรามีความพร้อม มีความสามารถ ที่จะใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อมีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และเพื่อทำให้สังคม และเศรษฐกิจโดยส่วนรวมดีขึ้น ถ้าท่านทั้งหลายนึกย้อนกลับไปว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วเราเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง วันนั้นทุนสำรองเกือบหมดประเทศ สถาบันการเงินอ่อนแอ เงินบาทจากที่อยู่ 25 บาทกว่า ๆ ลงไปถึง 56 บาท เราตื่นตระหนก เราตกใจ แต่ในที่สุดด้วยความร่วมมือจากหลาย ๆ ฝ่าย เราก็กอบกู้วิกฤตตรงนั้นมาได้ เผชิญกับความยากลำบากในช่วงปี 2 ปีแรก แต่ในที่สุดเราก็กอบกู้ขึ้นมาได้ แต่แปลกนะครับว่า 10 ปีต่อมา ประเทศเรามีทุนสำรองมาก มากเกินความต้องการเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศ เงินมีอยู่ในระบบสถาบันการเงิน แทบจะเรียกว่าท่วมธนาคาร เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาโดยลำดับ แล้วเราก็บอกว่าเศรษฐกิจของเราไม่ดี เศรษฐกิจของเราไปไม่ได้ หัวใจทั้งหมดจึงอยู่ที่ว่าเรามองเห็นสภาพปัญหาที่แท้จริงของเศรษฐกิจเราแล้วหรือยัง และเราจะต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง
ผมมีแนวคิดที่จะนำเสนอเกี่ยวกับการบริหารเศรษฐกิจที่ผมถือว่าเป็นหัวใจของการร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่า ประการแรก การบริหารเศรษฐกิจในภาพรวมมหภาค ต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ เราจะปล่อยให้ต่างหน่วยงานต่างทำ เราจะปล่อยให้หน่วยงานที่สำคัญที่สุด ที่กุมหัวใจของนโยบายการเงินการคลัง ต่างคนต่างทำอีกต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่กระทรวงการคลังก็บอกว่า เรื่องนี้ทำไม่ได้ รอธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยก็บอกว่าน่าจะเป็นเรื่องของกระทรวงการคลัง ไม่ได้ครับ เราจะรักษาความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่องการกำกับสถาบันการเงิน เราจะดูแลไม่ให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อจะใช้นโยบายในลักษณะที่เสียมิได้ แต่เราต้องไม่ปล่อยให้หน่วยงานของรัฐ ไม่ประสานงานกันเพื่อแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนให้ทันท่วงที เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ๆ ที่เราต้องมีการปรับการทำงานให้ชัด
ประการถัดมาครับ หน่วยงานราชการอื่น ๆ ต้องเลิกเป็นปัญหา เป็นอุปสรรค กับการประกอบธุรกิจกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เมื่อสักครู่ ผมพูดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต คอร์รัปชั่น แต่แม้แต่กรณีที่ไม่มีการทุจริต คอร์รัปชั่น เราก็เห็นชัดเจนเช่นเดียวกันครับว่าภาระที่ราชการสร้างให้กับผู้ประกอบการนั้นมีมาก เราต้องเทียบมาตรฐานของเรากับมาตรฐานของต่างประเทศ ของสากล เอาตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัท อยากจะเริ่มธุรกิจขึ้นมาใหม่ ใช้เวลากี่วัน เราก็พบความเป็นจริงว่า นานที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อยากจะผลิต อยากจะจ้างงาน อยากจะส่งออก นับจำนวนหน่วยงาน นับจำนวนใบอนุญาต ก็เยอะมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สภาพอย่างนี้ครับ เราไปโทษคนอื่นไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่คนไทย สร้างภาระให้กับคนไทยด้วยกันเอง ซึ่งผมขอเรียนว่า แนวทางของการบริหารจัดการในอนาคตนั้น เรามีความตั้งใจว่า การทำงานในลักษณะของราชการที่บริการประชาชน รวมทั้งพี่น้องผู้ประกอบการ ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ไม่ใช่ต่างคน ต่างทำ ต่างคนต่างยืนยันว่า อำนาจอาณาจักร ยังเป็นของกรมนั้น หน่วยงานนี้ แต่หน้าที่ขององค์กรของรัฐจะต้องเข้าไปดูว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือบริการประชาชน และภาคเอกชนให้รวดเร็วที่สุดได้อย่างไร ทะลายกำแพง ทะลายสิ่งซึ่งมันเป็นตัวแบ่ง ระหว่ากระทรวง ทบวง กรม กอง ทั้งหมด แต่ถือว่ารัฐเป็นหนึ่งเดียวบริการให้ความสะดวกกับพี่น้องผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว ทันใจ นั่นคือแนวทางที่เราจะต้องลดภาระต่าง ๆ ของพี่น้องของเราที่จะให้ธุรกิจของเรา เศรษฐกิจของเราก้าวไปข้างหน้า
แต่นอกจากนั้นแล้วครับ สิ่งที่สำคัญที่จะเป็นตัวทำให้เราก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจก็คือเราต้องหันกลับมาดูปัจจัยพื้นฐานของเราจริง ๆ มีหลายเรื่องซึ่งเราต้องทำมากกว่านี้ เรื่องแรก ซึ่งผมพูดซ้ำแล้ว ซ้ำอีกทุกเวที ก็คือเรื่องของการพัฒนาคนของเรา การลงทุนเรื่องการศึกษา เป็นการลงทุนที่มีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งจนถึงทุกวันนี้เราก็ยังทำไม่พอ ธุรกิจใหญ่ ๆ หลายราย ปัจจุบันตัดสินใจไม่มาลงทุนที่นี่ ไม่ใช่เรื่องอื่นใดครับ เพราะบอกว่าไม่สามารถมีหลักประกันว่า มีคนทำงานที่มีทักษะ มีคุณภาพ เหมาะกับความต้องการของเขาในระดับค่าแรงที่เราใช้อยู่ ถ้าเขาต้องการค่าแรงถูก เขาก็ไปจีน ไปเวียดนาม ไปอินเดีย แต่ถ้าเขาต้องการพร้อมที่จะจ่ายค่าแรงที่แพง เขาก็ต้องการทักษะ ต้องการความสามารถที่คนของเราต้องมีให้
วันนี้ครับ ระบบการศึกษาของเรายังไม่ได้ให้โอกาสกับคนของเราเท่าที่ควร มีนโยบายหลายเรื่องซึ่งผมมีความคิดว่า เป็นนโยบายของการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อที่จะพลิกฟื้นระบบการศึกษาไทย ผมอยากจะเรียกร้องทุก ๆ ท่านซึ่งอยู่ในที่นี้ ซึ่งผมเชื่อว่าโดยส่วนใหญ่มีความพร้อมกับพี่น้องที่อื่นว่า เราจะมาช่วยกันสร้างอนาคตของเราได้อย่างไร
ผมไปคุยกับนักธุรกิจ อยู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เขาก็สะท้อนให้ผมฟังว่า นอกเหนือจากปัญหาทางธุรกิจแล้ว เขาไม่สบายใจเกี่ยวกับอนาคตของชาติ ไม่สบายใจว่า ในการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เขาเห็นตามไซต์ก่อสร้าง คือที่ที่เด็กที่เป็นลูกหลานของคนงานใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ๆ เด็กเหล่านั้นจะได้รับความรู้ จะได้รับการศึกษา จะได้รับโอกาสที่ดีได้อย่างไร และถ้าอนาคตของประเทศไทยผูกติดอยู่กับเด็กจำนวนมากมายอย่างนี้ ประเทศไทยจะเดินไปด้วยความแข็งแกร่งได้อย่างไร
วาระประชาชน จึงประกาศครับว่า เราต้องจริงจังกับการดูแลเด็กตั้งแต่ก่อนเกิด ให้ความรู้กับพ่อแม่ ที่กำลังเริ่มเป็นครอบครัว ให้มีความพร้อม และดูแลว่า เมื่อเด็กเกิดมาจะได้รับอาหาร โภชนาการ การเลี้ยงดูที่ดี ที่ถูกต้อง ถ้าท่านเดินทางไปต่างจังหวัดนะครับ เหมือนที่ผมไปภาคเหนือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่านไปเห็นเด็กที่นั่นท่านจะตกใจ เด็ก ป. 6 ขนาดเท่าเด็ก ป.1 ป.2 ที่นี่ ขาดสารอาหารอย่างชัดเจน นั่นไม่ใช่เฉพาะร่างกายของเขานะครับ แต่หมายความว่าสมองของเขาก็ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ตรงนี้ครับ เราต้องช่วยกัน ผมต้องการที่จะเห็นระบบการศึกษาที่สร้างคนโดยมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์เลี้ยงเด็กที่มีความพร้อม อยู่ใกล้บ้าน หรืออยู่ที่ทำงานหรือสถานประกอบการ เด็กจะได้ใกล้ชิดแม่ ใกล้ชิดครอบครัว และเติบโตขึ้นมาอย่างมีความพร้อม นโยบายเรา เราจะลงทุนจำนวนหนึ่งครับ แต่อีกจำนวนหนึ่งเรามีความคิดว่า จะขอให้สถานประกอบการหรือผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจทั้งหลาย ทำสิ่งเหล่านี้ในสถานที่ทำงานของท่านแล้วเอาค่าใช้จ่ายทั้งหลายมาหักลดหย่อนภาษีได้ ถือว่าช่วยรัฐ แนวคิดอย่างนี้แหละครับ ไต่ระดับตั้งแต่เด็กเล็ก จนถึงประถม มัธยม ที่เราบอกว่าต้องมีการปรับหลักสูตร ให้เด็กไทย พูดภาษาต่างประเทศได้ มีทักษะ ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และมีความรู้ มีความพร้อม ตามความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจ เราจะตั้งเป้าเลยว่า เด็กสัดส่วนเท่าไหร่ควรจะเรียนสายวิทยาศาสตร์ เท่าไหร่ควรจะเรียนสายสังคมศาสตร์ เราจะส่งเสริมเรื่องของอาชีวะศึกษามากขึ้น เชิญชวนท่านทั้งหลายมาร่วมสร้างอนาคตด้วยการทำให้อาชีวะศึกษานั้นสร้างคนตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการทั้งหลาย นโยบายอย่างนี้แหละครับ คือนโยบายที่เราถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยแข็งแกร่ง ไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ แต่ในระยะกลาง ระยะยาว ต่อไป นั่นเรื่องคน
ถัดมาก็คือเรื่องทรัพยากรของเรา ทรัพยากรของเรามีมาก เรามีความเข้มแข็งในทุกภาค เกษตร อุตสาหกรรม และบริการ แต่ถามว่า เราส่งเสริมภาคการผลิตเหล่านี้เพียงพอหรือยัง วันนี้เรามีโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก ผมมั่นใจว่าจากวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นในโลก ภาคการเกษตร การปลูกพืชผลนั้นกำลังจะมีโอกาสใหม่ โอกาสใหญ่ที่จะทำให้ภาคการเกษตรเติบโต เพราะเราจะสามารถผลิตพืชผลส่วนหนึ่งเพื่อเป็นอาหาร และอีกส่วนหนึ่งคือเพื่อพลังงาน ตรงนี้ครับ เราได้ไปดูตัวเลขรายละเอียดต่าง ๆ แล้ว และเราจะเดินหน้าผลักดันเรื่องของการใช้พืชผลหรือผลิตผลทางการเกษตรบางตัวเช่นอ้อย เช่นมันสำปะหลัง มาผลิตเอทานอล มาทำแก๊สโซฮอล เพื่อที่ประเทศลดการนำเข้าพลังงาน ใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และยกระดับรายได้ โอกาส คุณภาพชีวิต ของเกษตรกรเราอย่างแท้จริง ผมได้มีโอกาสไปพบกับผู้ประกอบการทั้งที่ทำแป้งมัน ทั้งที่ทำเอทานอล ยืนยันกับผมครับว่า ถ้าเราทำเรื่องนี้เป็นระบบ เราทำให้กลุ่มเกษตรกรมาเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจตรงนี้ ราคาพืชผลเพิ่มขึ้นได้แน่ เขาก็ยอมรับต้นทุนที่สูงขึ้นตรงนี้ได้ ด้วยการบริหารจัดการที่ดี และสามารถที่จะตอบสนองเป้าหมายสำคัญของประเทศได้
เมื่อกลางวันผมก็พูดว่าในสถานการณ์อย่างนี้ อ้อยราคาพัน มันราคาสองบาท ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความจริงอีกต่อไป แนวคิดอย่างนี้ครับ และการลงไปทำความเป็นจริงในเรื่องของการให้พี่น้องเกษตรกรมีที่ทำกิน มีดินดี มีน้ำดี มีพันธุ์พืชดี เป็นหนทางของการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเรานั้น แข็งแกร่งตั้งแต่ฐานราก ตั้งแต่เศรษฐกิจของชาวบ้าน มันดีกว่าไปบอกว่า เราไปขายฝันให้เขาหลุดพ้นจากความยากจน ด้วยการเอาเงินไปให้เขากู้ เอาไปทำในสิ่งที่เขาไม่ถนัด เอาไปทำสิ่งใหม่ ๆ แล้วล้มเหลว แล้วก็เรียกร้องให้มีการมาปลดหนี้ ล้างหนี้กันเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ ผมมั่นใจครับว่า ภาคเกษตรของเราเติบใหญ่ได้ เกษตรกรของเราจะต้องไม่ใช่เป็นคนยากคนจนอีกต่อไป ถ้าเราสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงคนไทยเข้าหากันทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ
ในส่วนของท่านทั้งหลายที่ประกอบการอยู่ในภาคอุตสาหกรรมนั้น ผมอยากจะบอกว่า ปัจจุบันนี้ต้นทุนหลายอย่างที่ท่านแบกรับอยู่มันลดได้ ผมพูดถึงเรื่องปัญหาการทุจริตไปแล้ว ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการ ตรงนั้นจะเป็นการลดต้นทุนส่วนหนึ่ง แต่ต้นทุนอีกส่วนหนึ่งนั้นรัฐต้องเข้าไปลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันการขนส่ง และโลจิสติกส์ เป็นต้นทุนที่สูงมาก สำหรับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เอาตัวเลขมาดูเทียบกับประเทศต่าง ๆ นั้นเราเห็นได้ชัดครับว่าของเราสูงเกือบถึงร้อยละ 20 ในประเทศที่เจริญแล้วต่ำว่าร้อยละ 10 แต่สิ่งเหล่านี้รัฐต้องลงทุน 5 — 6 ปีที่ผ่านมา โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ถูกละเลย ไม่มีการลงทุนเป็นจริง เป็นจังเลย เรากำลังจะเตรียมทุ่มเทเรื่องเหล่านี้ครับ ในภาคการเกษตรเราจะทุ่มเทเรื่องน้ำ เรื่องระบบชลประทาน เพื่อเพิ่มผลผลิต ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเราจะต้องลงทุนในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการขนส่ง เพื่อที่จะให้การขนส่งผลิตผลนั้นออกสู่ท่าเรือ ออกสู่ตลาดนั้นทำได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น สะดวกขึ้น ต้นทุนลดลง ทำไมเราปล่อยให้รถบรรทุกขนสินค้า ร้อยละ 80 — 90 ของประเทศใช้น้ำมันก็มาก ต้นทุนก็สูง ถนนก็พัง สิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรม แต่ถ้าเราลงทุนระบบราง เราส่งเสริมการขนส่งทางน้ำ สิ่งเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป
พรรคประชาธิปัตย์ในอดีต เมื่อเป็นแกนนำรัฐบาลภายใต้ท่านอดีตนายก ฯ ชวน หลีกภัย คือคนที่เริ่มต้นโครงการถนน 4 ช่องจราจรทั่วประเทศ และรถไฟรางคู่ วันนี้ ถึงเวลาแล้วครับ ที่เรื่องของรถไฟรางคู่ จะกลับมาเป็นการลงทุนที่เร่งด่วน การลงทุนที่ใหญ่ในภาครัฐ เชื่อมอีสานเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง หาช่องที่จะทำให้จีนนั้นต้องขนส่งสินค้าผ่านประเทศของเรามาใช้บริการของเรา แม้กระทั่งที่จะออกทะเลทางฝั่งอันดามัน นี่คือแนวทางที่เป็นส่วนสำคัญของนโยบายของวาระประชาชนที่จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมนั้นสามารถลดต้นทุนและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สำหรับการประกอบการในภาคอื่น ๆ นั้น ผมก็อยากจะเรียนว่า เรามีแผนที่จะทำสิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่ เราเชื่อว่า มีธุรกิจอีกจำนวนมากซึ่งถูกมองข้าม แต่มีความพร้อม มีความเข้มแข็ง เช่นธุรกิจบันเทิง ภาพยนตร์ หนังโฆษณาของไทยขณะนี้ ไปชนะได้รางวัลในต่างประเทศ เราสามารถที่จะทำโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ดีแทบจะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคได้ด้วย แล้วเมื่อมาผนวกกับการท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้น จะเรื่องสุขภาพ จะเรื่องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร โอกาสมากมายมหาศาลสำหรับคนของเราที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจของไทยที่ไปเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก และแน่นอนครับ ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ความร่วมมือในภูมิภาคนี้ต้องทำให้มีความกระชับ แน่นแฟ้น และสามารถที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อประโยชน์ของคนในภูมิภาคได้มากขึ้น
ก็เป็นโชคดีครับว่า จากต้นปีหน้าเป็นต้นไป ท่านรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันคือ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ กำลังจะเข้าไปรับตำแหน่งเลขาธิการของอาเซียน (เสียงปรบมือ)
เมืองไทยของเรามีบทบาทนำในการทำให้อาเซียนนั้นเป็นตลาดขนาดใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเป็นการถ่วงดุลให้เกิดความสมดุลมากขึ้น ในภาวะของการเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน หรืออินเดีย และในภาวะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างเช่น มาเลเซีย หรือประเทศในอาเซียน อย่างเวียดนาม ก็มีแผนการที่กำลังเปิดประเทศเชิญชวนการลงทุนเข้ามา เราจับมือกับประเทศเหล่านี้ เราจะสามารถที่จะดึงโอกาส ดึงงาน ดึงรายได้ เข้าสู่ประเทศของเราได้อีกมากมาย นี่ก็เป็นแนวทางที่เราพึงจะทำ นอกเหนือจากเรื่องคน เรื่องทรัพยากรแล้ว เรื่องของทุน เรื่องของเทคโนโลยี ก็เช่นเดียวกันครับ เพียงแต่ว่า เราต้องส่งสัญญาณและมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะอาศัยประโยชน์จากเรื่องทุนและเทคโนโลยีอย่างไร ตลาดเงิน ตลาดทุนของเรา เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ ก็ยังเล็กมากครับ เทียบกับมาตรฐานของสากล ตลาดตราสารหนี้แหล่งระดมทุนที่สำคัญในเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ของเราเติบโตได้อีกเป็นเท่าตัว และตลาดหลักทรัพย์ ฯ ตลาดหุ้นของเราในปัจจุบันนี้ก็ค้าขายกันทั้งในมูลค่า ทั้งในระดับซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทั้งสิ้น การให้ความสำคัญอย่างจริงจัง กับเรื่องของตลาดทุนในความหมายที่จะเป็นตัวช่วยระดมทุน และทำให้เศรษฐกิจนั้นหมุนเวียนได้ดีขึ้นนั้น ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญมากในการที่จะทำให้เศรษฐกิจของเราแข็งแกร่ง
ท่านทั้งหลายครับสิ่งที่ผมได้พูดมาทั้งหมด ผมมั่นใจว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ เพียงแต่ต้องการการนำที่มีความชัดเจน มีความมุ่งมั่น กล้าเผชิญกับกฎระเบียบหรือโครงสร้างที่ล้าสมัยทั้งหลายในประเทศ แล้วแก้ไข กล้าเผชิญกับการผูกขาด กล้าเผชิญกับการที่เราไปสร้างภาระให้กับคนไทยด้วยกันเอง ผมเชื่อว่าถ้าทำสิ่งเหล่านี้ ความสามารถของท่านทั้งหลายในภาคธุรกิจนี่แหละ จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สังคมไทย ประเทศไทย ให้รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านทั้งหลายครับ เพียงเท่านี้ไม่พอ เศรษฐกิจที่จะเติบโต ที่จะขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็ว จะต้องเป็นเศรษฐกิจที่พี่น้องคนไทยทุกคนได้ประโยชน์ด้วย เราจึงจะมีความมั่นใจในความแข็งแกร่งที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ต้องยอมรับครับว่าขณะนี้ความเหลื่อมล้ำในสังคมของเรายังมีสูงมาก แต่เราต้องเข้าใจว่าทุกคนนั้นอยู่ในเรือลำเดียวกัน ดังนั้นเศรษฐกิจที่ผมพูดถึงเรื่องของการผลิตจริงที่จะเชื่อมโยงกันนั้นมันจะมีส่วนที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ทุกคนดีขึ้น
(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ