ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าเครื่องนุ่งห่มของโลกมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ที่เห็นได้ชัด คือ
- ปริมาณการค้าขยายตัวค่อนข้างสูง เนื่องจากจำนวนประชากรและรายได้เฉลี่ยของประชากร
ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการเครื่องนุ่งห่มขยายตัวตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนั้น ปริมาณการค้าเครื่องนุ่งห่มของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นผลมาจากการที่บรรดาประเทศต่าง ๆ เปิดตลาดการค้ากว้างขวางขึ้นด้วย
- การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีประเทศผู้ผลิตรายใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดเครื่องนุ่งห่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
ผู้ผลิตสินค้าระดับล่าง ซึ่งมีความได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
- ประเทศต่าง ๆ หันมาค้าเครื่องนุ่งห่มกับกลุ่มความร่วมมือทางการค้าที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ เนื่องจากปัจจุบันประเทศต่าง ๆ
ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางการค้ามากขึ้น เพื่ออาศัยความได้เปรียบของแต่ละประเทศในการแสวงหาประโยชน์ทางการค้าร่วมกัน
มูลค่าการค้าเครื่องนุ่งห่มระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ (ปี 2544)
การค้าระหว่างภูมิภาค มูลค่าการค้า สัดส่วนการค้า อัตราการเปลี่ยนแปลง
(พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) (%) (%) เฉลี่ยช่วงปี 2533 - 2544
ภายในยุโรปตะวันตก 42 21.5 1
เอเชียไปอเมริกาเหนือ* 35.4 18.2 5
ภายในเอเชีย 23.6 12.1 9
เอเชียไปยุโรปตะวันตก 21 10.8 4
ลาตินอเมริกา** ไปอเมริกาเหนือ 18.8 9.6 19
ยุโรปตะวันออกไปยุโรปตะวันตก 9.7 5 16
อื่น ๆ 44 22.6 9
มูลค่าการค้ารวม 195 100 6
หมายเหตุ: * อเมริกาเหนือ หมายถึงประเทศแคนาดา และสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
** ลาตินอเมริกา หมายถึงประเทศอื่น ๆ ในทวีปอเมริกา ยกเว้น แคนาดา และสหรัฐฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า มูลค่าส่งออกเครื่องนุ่งห่มจากลาตินอเมริกาไปยังอเมริกาเหนือขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงเกือบร้อยละ 20 ต่อปี
ในช่วงปี 2533 — 2544 เป็นเพราะได้รับผลดีจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Area:
NAFTA) ในปี 2537 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 3 ประเทศ คือ สหรัฐฯ
แคนาดา รวมทั้งเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศในลาตินอเมริกา ผลจากการจัดตั้ง NAFTA ทำให้เม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออก
เครื่องนุ่งห่มที่มีต้นทุนการผลิตต่ำสามารถขยายการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยังสหรัฐฯ ได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ
ทำข้อตกลงเพื่อขยายการค้าสิ่งทอกับประเทศต่าง ๆ ในลาตินอเมริกามาตั้งแต่ปี 2529 ส่งผลให้ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ หันมานำเข้า
เครื่องนุ่งห่มราคาถูกจากประเทศในลาตินอเมริกามากขึ้น สำหรับการส่งออกเครื่องนุ่งห่มจากยุโรปตะวันออกไปยังยุโรปตะวันตกที่เพิ่มขึ้น
ค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเครื่องนุ่งห่มรายสำคัญ ให้สิทธิพิเศษ
ด้วยการลดภาษีนำเข้าและขยายโควตานำเข้าเครื่องนุ่งห่มให้แก่ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก ส่งผลให้เครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะสินค้า
ระดับล่างที่ผลิตจากประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออกหลั่งไหลเข้าไปยัง EU เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในระยะต่อไปมีประเด็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษเกื่ยวกับการค้าเครื่องนุ่งห่มของโลกคือ การค้าเครื่องนุ่งห่มของโลก
จะต้องปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่การเปิดเสรีทางการค้าตามกรอบขององค์การการค้าโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ซึ่งหมายถึงว่า
ประเทศผู้นำเข้าสิ่งทอซึ่งเคยกำหนดโควตาเพื่อจำกัดการนำเข้า อาทิ EU และสหรัฐฯ ต้องยกเลิกโควตานำเข้าซึ่งมีมานานกว่า 50
ปีลง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศผู้ส่งออกที่เดิมเคยอาศัยโควตาในการรักษาส่วนแบ่งตลาด อาจต้องสูญเสียตลาดสิ่งทอให้กับ
ประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า โดยเฉพาะจีน ทั้งนี้ ปัจจุบันจีนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องนุ่งห่มใน EU และสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 9 และ
ร้อยละ 13 ตามลำดับ เทียบกับส่วนแบ่งตลาดที่สูงถึงร้อยละ 75 ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดนอกโควตา จึงเป็นที่คาดว่า ภายใต้การเปิดเสรี
การค้าสิ่งทอโลก จีนจะมีโอกาสขยายการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยัง EU และสหรัฐฯ ได้อีกมาก
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธันวาคม 2546--
-พห-
- ปริมาณการค้าขยายตัวค่อนข้างสูง เนื่องจากจำนวนประชากรและรายได้เฉลี่ยของประชากร
ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการเครื่องนุ่งห่มขยายตัวตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
นอกจากนั้น ปริมาณการค้าเครื่องนุ่งห่มของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นผลมาจากการที่บรรดาประเทศต่าง ๆ เปิดตลาดการค้ากว้างขวางขึ้นด้วย
- การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากมีประเทศผู้ผลิตรายใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดเครื่องนุ่งห่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
ผู้ผลิตสินค้าระดับล่าง ซึ่งมีความได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ
- ประเทศต่าง ๆ หันมาค้าเครื่องนุ่งห่มกับกลุ่มความร่วมมือทางการค้าที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ เนื่องจากปัจจุบันประเทศต่าง ๆ
ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มทางการค้ามากขึ้น เพื่ออาศัยความได้เปรียบของแต่ละประเทศในการแสวงหาประโยชน์ทางการค้าร่วมกัน
มูลค่าการค้าเครื่องนุ่งห่มระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ (ปี 2544)
การค้าระหว่างภูมิภาค มูลค่าการค้า สัดส่วนการค้า อัตราการเปลี่ยนแปลง
(พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) (%) (%) เฉลี่ยช่วงปี 2533 - 2544
ภายในยุโรปตะวันตก 42 21.5 1
เอเชียไปอเมริกาเหนือ* 35.4 18.2 5
ภายในเอเชีย 23.6 12.1 9
เอเชียไปยุโรปตะวันตก 21 10.8 4
ลาตินอเมริกา** ไปอเมริกาเหนือ 18.8 9.6 19
ยุโรปตะวันออกไปยุโรปตะวันตก 9.7 5 16
อื่น ๆ 44 22.6 9
มูลค่าการค้ารวม 195 100 6
หมายเหตุ: * อเมริกาเหนือ หมายถึงประเทศแคนาดา และสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
** ลาตินอเมริกา หมายถึงประเทศอื่น ๆ ในทวีปอเมริกา ยกเว้น แคนาดา และสหรัฐฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า มูลค่าส่งออกเครื่องนุ่งห่มจากลาตินอเมริกาไปยังอเมริกาเหนือขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงเกือบร้อยละ 20 ต่อปี
ในช่วงปี 2533 — 2544 เป็นเพราะได้รับผลดีจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Area:
NAFTA) ในปี 2537 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 3 ประเทศ คือ สหรัฐฯ
แคนาดา รวมทั้งเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศในลาตินอเมริกา ผลจากการจัดตั้ง NAFTA ทำให้เม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออก
เครื่องนุ่งห่มที่มีต้นทุนการผลิตต่ำสามารถขยายการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยังสหรัฐฯ ได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ การที่สหรัฐฯ
ทำข้อตกลงเพื่อขยายการค้าสิ่งทอกับประเทศต่าง ๆ ในลาตินอเมริกามาตั้งแต่ปี 2529 ส่งผลให้ผู้นำเข้าในสหรัฐฯ หันมานำเข้า
เครื่องนุ่งห่มราคาถูกจากประเทศในลาตินอเมริกามากขึ้น สำหรับการส่งออกเครื่องนุ่งห่มจากยุโรปตะวันออกไปยังยุโรปตะวันตกที่เพิ่มขึ้น
ค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเครื่องนุ่งห่มรายสำคัญ ให้สิทธิพิเศษ
ด้วยการลดภาษีนำเข้าและขยายโควตานำเข้าเครื่องนุ่งห่มให้แก่ประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก ส่งผลให้เครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะสินค้า
ระดับล่างที่ผลิตจากประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออกหลั่งไหลเข้าไปยัง EU เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในระยะต่อไปมีประเด็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษเกื่ยวกับการค้าเครื่องนุ่งห่มของโลกคือ การค้าเครื่องนุ่งห่มของโลก
จะต้องปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่การเปิดเสรีทางการค้าตามกรอบขององค์การการค้าโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ซึ่งหมายถึงว่า
ประเทศผู้นำเข้าสิ่งทอซึ่งเคยกำหนดโควตาเพื่อจำกัดการนำเข้า อาทิ EU และสหรัฐฯ ต้องยกเลิกโควตานำเข้าซึ่งมีมานานกว่า 50
ปีลง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศผู้ส่งออกที่เดิมเคยอาศัยโควตาในการรักษาส่วนแบ่งตลาด อาจต้องสูญเสียตลาดสิ่งทอให้กับ
ประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า โดยเฉพาะจีน ทั้งนี้ ปัจจุบันจีนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องนุ่งห่มใน EU และสหรัฐฯ เพียงร้อยละ 9 และ
ร้อยละ 13 ตามลำดับ เทียบกับส่วนแบ่งตลาดที่สูงถึงร้อยละ 75 ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดนอกโควตา จึงเป็นที่คาดว่า ภายใต้การเปิดเสรี
การค้าสิ่งทอโลก จีนจะมีโอกาสขยายการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยัง EU และสหรัฐฯ ได้อีกมาก
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธันวาคม 2546--
-พห-