ผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับประเทศในสหภาพยุโรปต้องตรวจสอบความเสี่ยงและโอกาสโดยการวิเคราะห์และเรียงลำดับความเสี่ยงและโอกาส กำหนดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการตลาดของสหภาพยุโรป ตลอดจนตรวจสอบการปฏิบัติต่อสินค้าที่มีอยู่ในประเทศสมาชิกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จัดหาข้อมูลที่ละเอียดและน่าเชื่อถือ ผู้ส่งออกไทยควรจะใช้ประโยชน์ของตลาดสหภาพยุโรปให้มากที่สุดโดยต้องตั้งคำถามว่าคุ้มหรือไม่ในการเป็นคู่ค้ากับสหภาพยุโรป และในที่นี้ประเด็นแรกจะขอกล่าวถึงระเบียบสุขอนามัยของสหภาพยุโรปที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของผู้ส่งออกไทย ตามประเด็นที่สรุปได้ดังนี้
กรรมาธิการสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภคสหภาพยุโรป ได้กล่าวต่อ Executive Directors ของธนาคารโลก เกี่ยวกับผลประทบจากระเบียบสุขอนามัยของสหภาพยุโรป (EU Sanitary and Phytosanitary Legislation ) ที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2547 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย สรุปได้คือ 1) ระเบียบสุขอนามัยไม่ได้มุ่งให้เป็นอุปสรรคทางการค้า แต่มีความจำเป็นต่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพราะการค้าสินค้าอาหารจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้ซื้อมีความมั่นใจว่าสินค้ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพเท่านั้น 2) คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปมีหน้าที่กำกับดูแลระบบควบคุมความปลอดภัยอาหาร โดยทบทวนแก้ไขระเบียบและใช้มาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยได้จัดตั้ง European Food Safety Authority (EFSA) เพื่อให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร 3) ความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ เช่น การระบาดของโรคต่างๆ เช่น โรคปากเท้าเปื่อย โรค SARS และโรคไข้หวัดนก ซึ่งอาจมีความรุนแรงและทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบควบคุมความปลอดภัยอาหารที่มีประสิทธิภาพ 4) การนำเข้าของ EU ถึงแม้ความปลอดภัยอาหารของ EU จะมีมาตรฐานสูง ยากต่อการปฏิบัติ แต่ EU ก็ยังคงเป็นผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยต้องนำเข้าจากพื้นที่ที่ EU เชื่อมั่นว่าปลอดภัย ( Regionalization Approach) เช่น บราซิล อาร์เจนติน่า ออสเตรเลีย ทั้งนี้ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ เช่น ไทย บราซิล ก็มีศักยภาพที่จะผลิตสินค้าอาหารได้ตามมาตรฐานของ EU 5) การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย โดย EU อนุญาติให้นำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทย ทำให้ไทยสามารถส่งออกได้ 40% ของสินค้าไก่และผลิตภัณฑ์ไปยัง EU ได้ 6) การให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากการส่งออกสินค้าอาหารมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนามาก ประเทศพัฒนาและองค์กรระหว่างประเทศจึงควรให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนามากกว่านี้ในเรื่องมาตรฐานอาหารให้มีมาตรฐานสูงพอที่จะส่งไปยังประเทศพัฒนา และถึงแม้การเจรจาภายใต้ WTO จะนำไปสู่การเปิดเสรีทางการค้าได้จริง แต่หากประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถผลิตสินค้าให้มีมาตรฐานตามที่ตลาดประเทศพัฒนาต้องการได้ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีเลย 7) การพัฒนามาตรฐานสินค้าอาหารในประเทศกำลังพัฒนา ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอาหารและการคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศก่อน ไม่ใช่เน้นแต่ความปลอดภัยของสินค้าที่จะส่งออกอย่างเดียว 8) ระเบียบควบคุมอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ใหม่ ( New Regulation on Food and Feed Controls) EU จะประกาศใช้ในวันที่ 1 กรกฏาคม 2549 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอาหารของประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก EU จึงมีโครงการให้ความรู้แก่ประเทศเหล่านี้ ( Training and Twining Projects ) และกำลังศึกษาผลกระทบของระเบียบดังกล่าว โดยจะสรุปผลการศึกษาปลายปี 2547 9) ธนาคารโลกกำลังทำการศึกษามาตรการ SPS และสนใจที่จะมีบทบาทในเรื่องความปลอดภัยอาหารมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา 10) บทบาทนำของ EU และสหรัฐอเมริกาในการกำหนดมาตรฐานอาหารว่าควรมีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น
ประเด็นที่ 2 คือ การจัดตั้งระบบเตือนภัยจากสินค้าที่มิใช่อาหาร (Rapid Alert System for Non-Food Products : RAPEX) อันมีผลมาจากการบังคับใช้ระเบียบว่าด้วยความปลอดภัยโดยทั่วไปของสินค้า (General Product Safety) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547 ระบบ RAPEX มีขั้นตอนการดำเนินการและมีวัตถุประสงค์เดียวกันกับระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับสินค้าอาหาร กล่าวคือ เป็นระบบการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงหรืออันตรายของสินค้า รวมทั้งการเรียกคืนสินค้า โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละประเทศสมาชิกฯ จะมีการประกาศรายการสินค้าดังกล่าวเป็นรายสัปดาห์ลงในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยุโรป DG Health and Consumer Protection ซึ่งในเว็บไซต์จะระบุข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสมาชิกฯ แจ้งประเภทสินค้า ประเภทของความอันตราย และมาตรการในการเรียกคืนสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเตือนภัยนี้เป็นข้อมูลซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตสินค้าของไทยเป็นอย่างมากในการใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานสินค้าของตนเพื่อป้องกันการผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่องและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
นอกจาก 2 ประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย ได้แก่ 1) ระเบียบการขนส่งขยะ ซึ่งมุ่งจัดทำระเบียบที่เป็นมาตรฐานเดี่ยวกันทั่วโลกเกี่ยวกับการขนส่งขยะข้ามแดน โดย EU จะจัดทำมาตรฐานในการจัดการขยะ 2) ร่างระเบียบเคมีภัณฑ์ (REACH) โดยจะมีการจัดตั้ง European Chemicals Agency เพื่อบริหารระบบดังกล่าว และ 3) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อควบคุมจัดการน้ำและตะกอนที่มาจากหินถ่วงเรือและการป้องกันไม่ให้สัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กติดขึ้นมากับอวนประมง โดยระเบียบต่างๆ เหล่านี้ผู้ส่งออกสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักมาตรการนำเข้าส่งออกสินค้าทั่วไป กรมการค้าต่างประเทศ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
กรรมาธิการสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภคสหภาพยุโรป ได้กล่าวต่อ Executive Directors ของธนาคารโลก เกี่ยวกับผลประทบจากระเบียบสุขอนามัยของสหภาพยุโรป (EU Sanitary and Phytosanitary Legislation ) ที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2547 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยมีประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย สรุปได้คือ 1) ระเบียบสุขอนามัยไม่ได้มุ่งให้เป็นอุปสรรคทางการค้า แต่มีความจำเป็นต่อการคุ้มครองผู้บริโภคและการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพราะการค้าสินค้าอาหารจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้ซื้อมีความมั่นใจว่าสินค้ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพเท่านั้น 2) คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปมีหน้าที่กำกับดูแลระบบควบคุมความปลอดภัยอาหาร โดยทบทวนแก้ไขระเบียบและใช้มาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยได้จัดตั้ง European Food Safety Authority (EFSA) เพื่อให้คำแนะนำทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร 3) ความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ เช่น การระบาดของโรคต่างๆ เช่น โรคปากเท้าเปื่อย โรค SARS และโรคไข้หวัดนก ซึ่งอาจมีความรุนแรงและทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบควบคุมความปลอดภัยอาหารที่มีประสิทธิภาพ 4) การนำเข้าของ EU ถึงแม้ความปลอดภัยอาหารของ EU จะมีมาตรฐานสูง ยากต่อการปฏิบัติ แต่ EU ก็ยังคงเป็นผู้นำเข้าอาหารรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยต้องนำเข้าจากพื้นที่ที่ EU เชื่อมั่นว่าปลอดภัย ( Regionalization Approach) เช่น บราซิล อาร์เจนติน่า ออสเตรเลีย ทั้งนี้ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ เช่น ไทย บราซิล ก็มีศักยภาพที่จะผลิตสินค้าอาหารได้ตามมาตรฐานของ EU 5) การระบาดของไข้หวัดนกในประเทศไทย โดย EU อนุญาติให้นำเข้าไก่ปรุงสุกจากไทย ทำให้ไทยสามารถส่งออกได้ 40% ของสินค้าไก่และผลิตภัณฑ์ไปยัง EU ได้ 6) การให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากการส่งออกสินค้าอาหารมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนามาก ประเทศพัฒนาและองค์กรระหว่างประเทศจึงควรให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนามากกว่านี้ในเรื่องมาตรฐานอาหารให้มีมาตรฐานสูงพอที่จะส่งไปยังประเทศพัฒนา และถึงแม้การเจรจาภายใต้ WTO จะนำไปสู่การเปิดเสรีทางการค้าได้จริง แต่หากประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถผลิตสินค้าให้มีมาตรฐานตามที่ตลาดประเทศพัฒนาต้องการได้ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีเลย 7) การพัฒนามาตรฐานสินค้าอาหารในประเทศกำลังพัฒนา ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอาหารและการคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศก่อน ไม่ใช่เน้นแต่ความปลอดภัยของสินค้าที่จะส่งออกอย่างเดียว 8) ระเบียบควบคุมอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ใหม่ ( New Regulation on Food and Feed Controls) EU จะประกาศใช้ในวันที่ 1 กรกฏาคม 2549 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอาหารของประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก EU จึงมีโครงการให้ความรู้แก่ประเทศเหล่านี้ ( Training and Twining Projects ) และกำลังศึกษาผลกระทบของระเบียบดังกล่าว โดยจะสรุปผลการศึกษาปลายปี 2547 9) ธนาคารโลกกำลังทำการศึกษามาตรการ SPS และสนใจที่จะมีบทบาทในเรื่องความปลอดภัยอาหารมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา 10) บทบาทนำของ EU และสหรัฐอเมริกาในการกำหนดมาตรฐานอาหารว่าควรมีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้น
ประเด็นที่ 2 คือ การจัดตั้งระบบเตือนภัยจากสินค้าที่มิใช่อาหาร (Rapid Alert System for Non-Food Products : RAPEX) อันมีผลมาจากการบังคับใช้ระเบียบว่าด้วยความปลอดภัยโดยทั่วไปของสินค้า (General Product Safety) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547 ระบบ RAPEX มีขั้นตอนการดำเนินการและมีวัตถุประสงค์เดียวกันกับระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับสินค้าอาหาร กล่าวคือ เป็นระบบการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงหรืออันตรายของสินค้า รวมทั้งการเรียกคืนสินค้า โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละประเทศสมาชิกฯ จะมีการประกาศรายการสินค้าดังกล่าวเป็นรายสัปดาห์ลงในเว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยุโรป DG Health and Consumer Protection ซึ่งในเว็บไซต์จะระบุข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสมาชิกฯ แจ้งประเภทสินค้า ประเภทของความอันตราย และมาตรการในการเรียกคืนสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเตือนภัยนี้เป็นข้อมูลซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตสินค้าของไทยเป็นอย่างมากในการใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานสินค้าของตนเพื่อป้องกันการผลิตสินค้าที่มีข้อบกพร่องและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
นอกจาก 2 ประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย ได้แก่ 1) ระเบียบการขนส่งขยะ ซึ่งมุ่งจัดทำระเบียบที่เป็นมาตรฐานเดี่ยวกันทั่วโลกเกี่ยวกับการขนส่งขยะข้ามแดน โดย EU จะจัดทำมาตรฐานในการจัดการขยะ 2) ร่างระเบียบเคมีภัณฑ์ (REACH) โดยจะมีการจัดตั้ง European Chemicals Agency เพื่อบริหารระบบดังกล่าว และ 3) การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อควบคุมจัดการน้ำและตะกอนที่มาจากหินถ่วงเรือและการป้องกันไม่ให้สัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กติดขึ้นมากับอวนประมง โดยระเบียบต่างๆ เหล่านี้ผู้ส่งออกสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักมาตรการนำเข้าส่งออกสินค้าทั่วไป กรมการค้าต่างประเทศ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-