1. ฐานเงินและปริมาณเงิน
-ฐานเงินและปริมาณขยายตัวในอัตรที่สูงต่อเนื่อง
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 อยู่ที่ระดับ 675.7 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.4 พันล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.2
การเปลี่ยนแปลงของฐานการเงินจากเดือนก่อนที่สำคัญได้แก่(1)สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการลดลงเล็กน้อย(2)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่รัฐบาลลดลงตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท.(3)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินลดลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรมาลงทุนในพันธบัตรของ ธปท.ที่ออกเพิ่มแทน
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 8.1 8.8 และ 7.0 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ตามการขยายตัวของเงินฝาก
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนพฤษภาคม 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.เทียบกับค่าเฉลี่ยนในเดือนเมษายน ที่ 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.การอ่อนค่าลงค่อนข้างมากดังกล่าวมาจากปัจจัยสำคัญ คือ(1)Sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ที่ปรับดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว และการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในเดือนมิถุนายน (2)ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้มีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.จากบริษัทน้ำมันเพิ่มขึ้น และ(3)ความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ค่าเงินบาทได้โน้มแข้งขึ้นเล็กน้อยตามค่าเงินในภูมิภาคเป็นหลัก
สำหรับค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 40.79 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.โดยปัจจัยลบภายในประเทศ ได้แก่ ความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจไทยจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ประกอบกับมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.จากผู้นำเข้าและบริษัทน้ำมันค่อนข้างมาก นอกจากนี้ แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่ชัดเจนส่งผลให้Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ.ปรับดีขึ้น
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.98 ต่อปี ทรงตัวจากค่าเฉลี่ยในเดือนเมษายนเนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี สภาพคล่องตึงตัวขึ้นในช่วงปลายเดือน เนื่องจากพาณิชย์บางแห่งได้เตรียมสภาพคล่องเพื่อจ่ายเงินปันผล ประกอบกับเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์มีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนเมษายนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 ต่อปี
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 1.02 ต่อปี ตามลำดับ เป็นผลจากสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเตรียมเงินเพื่อให้กระทรวงการคลังไถ่ถอนพันธบัตรรวมทั้งเพื่อการเบิกถอนของลูกค้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับเพิ่มขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนอัตราผลตอบแทนปรับสูงขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะพันธบัตรระยะกลาง ปัจจัยสำคัญยังคงเป็นความกังวลที่ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะปรับเพิ่มภายในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลง เป็นผลจากการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยและการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดทำให้นักลงทุนบางส่วนทยอยกลับมาลงทุนในตลาดพันธบัตร
ในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเป็นการปรับตัวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน อนึ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในเดือนนี้ปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อยเนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดได้ปรับตัวไปค่อนข้างมากจากการคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวร้อยละ 5.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนเมษายน โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากภาคธุรกิจ
สินเชื่อภาคเอกชน(รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 5.8 ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งขึ้นจากเดือนก่อน โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเป็นการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิยช์ขนาดใหญ่แก่ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤษภาคมและในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ชพ/ชบ-
-ฐานเงินและปริมาณขยายตัวในอัตรที่สูงต่อเนื่อง
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2547 อยู่ที่ระดับ 675.7 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.4 พันล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 12.2
การเปลี่ยนแปลงของฐานการเงินจากเดือนก่อนที่สำคัญได้แก่(1)สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการลดลงเล็กน้อย(2)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่รัฐบาลลดลงตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท.(3)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินลดลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรมาลงทุนในพันธบัตรของ ธปท.ที่ออกเพิ่มแทน
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนในอัตราร้อยละ 8.1 8.8 และ 7.0 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ตามการขยายตัวของเงินฝาก
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมากจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนพฤษภาคม 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.57 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.เทียบกับค่าเฉลี่ยนในเดือนเมษายน ที่ 39.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.การอ่อนค่าลงค่อนข้างมากดังกล่าวมาจากปัจจัยสำคัญ คือ(1)Sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ที่ปรับดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว และการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในเดือนมิถุนายน (2)ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้มีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.จากบริษัทน้ำมันเพิ่มขึ้น และ(3)ความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ค่าเงินบาทได้โน้มแข้งขึ้นเล็กน้อยตามค่าเงินในภูมิภาคเป็นหลัก
สำหรับค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 40.79 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.โดยปัจจัยลบภายในประเทศ ได้แก่ ความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจไทยจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ประกอบกับมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.จากผู้นำเข้าและบริษัทน้ำมันค่อนข้างมาก นอกจากนี้ แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯที่ชัดเจนส่งผลให้Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ.ปรับดีขึ้น
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.98 ต่อปี ทรงตัวจากค่าเฉลี่ยในเดือนเมษายนเนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี สภาพคล่องตึงตัวขึ้นในช่วงปลายเดือน เนื่องจากพาณิชย์บางแห่งได้เตรียมสภาพคล่องเพื่อจ่ายเงินปันผล ประกอบกับเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์มีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับเดือนเมษายนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 ต่อปี
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 1.02 ต่อปี ตามลำดับ เป็นผลจากสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเตรียมเงินเพื่อให้กระทรวงการคลังไถ่ถอนพันธบัตรรวมทั้งเพื่อการเบิกถอนของลูกค้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับเพิ่มขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนอัตราผลตอบแทนปรับสูงขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะพันธบัตรระยะกลาง ปัจจัยสำคัญยังคงเป็นความกังวลที่ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะปรับเพิ่มภายในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลง เป็นผลจากการปรับลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยและการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดทำให้นักลงทุนบางส่วนทยอยกลับมาลงทุนในตลาดพันธบัตร
ในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและยาวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเป็นการปรับตัวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน อนึ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในเดือนนี้ปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อยเนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดได้ปรับตัวไปค่อนข้างมากจากการคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวร้อยละ 5.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนเมษายน โดยเงินฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากภาคธุรกิจ
สินเชื่อภาคเอกชน(รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ 5.8 ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งขึ้นจากเดือนก่อน โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเป็นการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิยช์ขนาดใหญ่แก่ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤษภาคมและในช่วงวันที่ 1-25 มิถุนายน 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ชพ/ชบ-