แท็ก
เกษตรกร
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--25 มี.ค.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
หอมหัวใหญ่ : ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ร้องขอให้รัฐช่วยเหลือด่วน เนื่องจาก
ไม่มีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อผลผลิต
ผลผลิต ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.)
ปีเพาะปลูก มค. กพ. มีค.
(ตันสด) ส.1 ส.2 ส.3
2539/40 99,003 7.75 3.60 4.72 3.72 -
2540/41 81,479 19.06 14.63 8.00 5.00 5.00
แตกต่าง (ร้อยละ) -17.70 +145.94 306.39 +69.49 +34.41 -
หมายเหตุ : ส. คือสัปดาห์
เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2541 มีคณะผู้แทนจากสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ ในเขตจังหวัด
เชียงใหม่ และพ่อค้าผู้รับซื้อหอมหัวใหญ่ ได้เข้าร้องเรียนต่อรัฐมนตรีช่วย-ว่าการกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ) ขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหอมหัวใหญ่ในขณะนี้ ซึ่งภาวะการซื้อขายหอมหัว
ใหญ่ชะลอตัวลงอย่างมากจนเกือบไม่มีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อผลผลิต ทั้งนี้เนื่องจาก การส่งออกหอมหัวใหญ่
ลดลง ประกอบกับพ่อค้าขาดสภาพคล่องไม่สามารถรับซื้อหอมหัวใหญ่ได้ ทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ที่สมา
ชิกสหกรณ์สันป่าตองและแม่วางขายได้ลดลง และส่งผลกระทบให้สมาชิกสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฝางที่ไม่
มีโรงแขวนหอม ซึ่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาด ต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะถูกพ่อค้ากดรา
คารับซื้อเหลือเพียงกิโลกรัมละ 3.00-3.50 บาท (ไม่ตัดจุก) ดังนั้น สหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่า
ตอง แม่วางและฝาง จึงขอให้รัฐเข้าช่วยเหลือโดยสนับสนุนเงินทุนให้พ่อค้าเข้าไปรับซื้อหอมหัวใหญ่
จากสมาชิกสหกรณ์ฯ
อนึ่ง ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สหกรณ์ผู้ปลูก
หอมหัวใหญ่ และพ่อค้ารับซื้อหอมหัวใหญ่ ได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาซึ่งผลการประชุม สรุป
ได้ดังนี้
1. ให้สหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่าตอง แม่วาง และฝาง ลดพื้นที่ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีเพาะ
ปลูก 2541/42 ให้ได้จำนวน 3,000 ไร่ โดยให้ปลูกมันฝรั่งโรงงานทดแทน
2. ให้รัฐช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ให้กับผู้ประกอบการไปดำเนินการรับ
ซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่จากสมาชิกสหกรณ์ ตามปริมาณผลผลิตที่ได้จากจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการจัดสรร
และปลูกจริงเท่านั้น
3. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องเข้าไปรับซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่จากสมา
ชิกสหกรณ์ฯ สันป่าตอง และแม่วาง ประมาณ 3,500 ตัน ในราคากิโลกรัมละ 5.00 บาท และรับซื้อ
จากสมาชิกสหกรณ์ฯ ฝาง ที่ไม่มีโรงแขวนหอม จำนวน 1,194 ราย ผลผลิตประมาณ 10,000 ตัน ใน
ราคากิโลกรัมละ 4.00 บาท
ข้อคิดเห็น
ถ้าพิจารณาจากปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ ที่ลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 17.70 ในปีนี้ไม่น่าจะ
เกิดปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ได้ แต่เนื่องจากพ่อค้าผู้รับซื้อมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อ ในขณะ
เดียวกัน พ่อค้ารายใหญ่ได้ยุติการรับซื้อชั่วคราว เพื่อรอดูแนวทางช่วยเหลือของทางราชการ ในแง่ของ
เงิน คชก. เช่นที่เคยดำเนินการในปีก่อน ๆ ทำให้สมาชิกสหกรณ์ฝาง ที่ไม่มีโรงแขวนหอม ซึ่งต้องขาย
ผลผลิตสดได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น มาตรการแก้ไขปัญหาหอมหัวใหญ่ที่คณะอนุกรรมการจัดการการ
ผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง และหอมหัวใหญ่ มีมติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2540 โดยเฉพาะ
การลดพื้นที่ปลูกหอมหัวใหญ่และการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ รวมทั้งการ
รณรงค์ชี้แจงให้เกษตรกรผู้ปลูกได้รับทราบปัญหาก่อนปลูก จะต้องได้รับการดำเนินการอย่างเร่งรัด และ
จริงจังมากยิ่งขึ้น
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
อ้อย : เงินบาทแข็งขึ้น คาดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย จะลดลง
ตามที่ชาวไร่อ้อยได้เรียกร้องขอปรับราคาอ้อยโดยให้เหตุผลว่า ต้นทุนการผลิต
สูงขึ้น และในเวลาเดียวกันคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติขอให้มีการปรับราคาน้ำตาลทราย
เพื่อการบริโภคภายในประเทศ จนทำให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.
ศ. 2527 ได้มีการประชุมหารือกันว่าสมควรที่จะให้มีการปรับราคาน้ำตาลทรายตามมติดังกล่าวหรือไม่
ในที่สุดได้ข้อสรุปร่วมกันว่าการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนยังไม่ถึงระดับที่ควรจะต้องมีการปรับราคา น้ำ
ตาลทรายภายในประเทศในขณะนี้ ในการประชุมดังกล่าวได้มีการประมาณการว่าตัวเลขราคาอ้อยขั้น
สุดท้ายของปีการผลิตปี 2540/41 จะมีราคาประมาณตันละ 764.90 บาท โดยยังไม่รวมรายได้จาก
กากน้ำตาลอีกตันละ 21.02 บาท ซึ่งการประมาณการดังกล่าวได้มีการคำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่
44.268 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ
แต่จากผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้ง
ด้านการขอเบิกเงินกู้งวดที่ 3 จาก IMF การผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการ รวมทั้งการให้ความช่วย
เหลือของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐฯได้มีแนวโน้มที่
แข็งค่าขึ้นมาตลอด ปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 39 - 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลให้รายได้ในส่วน
ของน้ำตาลส่งออกต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้ และจะส่งผลต่อเนื่องถึงราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ซึ่งจะต่ำกว่า
ที่ประมาณการไว้เดิมตามไปด้วย หากอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มเช่นนี้ชาวไร่อ้อยคงจะต้องมีการ
เรียกร้องเพื่อให้ได้ราคาอ้อยตามที่ได้มีการประมาณการไว้เดิมอย่างแน่นอน จึงอาจจำเป็นต้องเตรียม
การเพื่อแก้ไขปัญหานี้ไว้เป็นการล่วงหน้า
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ยางพารา : คาดราคายางปีนี้จะไม่สูงกว่าปีที่ผ่านมา
ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดคะเนผลผลิต
ยางพารา ปี 2541 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จะมีประมาณ 2.206 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 230 กิ
โลกรัม นั้น จากรายงานล่าสุดได้เกิดภาวะแห้งแล้งกระจายทั่วไปในแหล่งปลูกยางทั้งภาคใต้ ภาคตะวัน
ออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับ เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการบำรุงรักษาสวน อันเป็น
ผลจากราคาที่เกษตรกรได้รับในปี 2540 อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.42 บาท เทียบกับ
27.92 บาทที่เคยได้รับในปีก่อน หรือลดลงร้อยละ 11.16 รวมทั้งการที่ราคาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะ
ปุ๋ยเคมีมีราคาเพิ่มสูงกว่าร้อยละ 20 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตของประเทศต่ำกว่า
ที่คาดคะเนไว้
แม้ว่าผลผลิตมีปริมาณลดลง แต่ก็คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้ในปี 2541 จะไม่
สูงกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะแถบเอเชีย ยังไม่พ้นภาวะวิกฤตเศรษฐ
กิจ ประกอบกับมีสต็อกเป็นจำนวนมากในประเทศผู้นำเข้า
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการร้องเรียนของเกษตรกร เนื่องจากต้นทุนการ
ผลิตต่อหน่วยที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้ของเกษตรกรลดลง จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียม
มาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในการดำเนินการแทรกแซงตลาด หากเกิดราคาตกต่ำต่อไป
ผลผลิตยางพาราและราคายางแผ่นดิบ ชั้น 3 ที่เกษตรกรได้รับ
ผลผลิต(ล้านตัน) ราคา(บาท/กก.)
2539 2.120 27.92
2540 2.168 23.42
2541 2.206 -
มกราคม - 24.19
กุมภาพันธ์ - 29.52
มีนาคม - -
สัปดาห์ที่ 1 25.65
สัปดาห์ที่ 2 24.83
สัปดาห์ที่ 3 23.99
2.2 กุ้งทะเล : ไทยชนะสหรัฐคดี TED ในเวทีการค้าโลก
สหรัฐอเมริกาได้ระงับการนำเข้ากุ้งทะเลจาก 56 ประเทศ ที่ไม่ใช้เครื่องมือ
แยกเต่าทะเล (Turtle Excluder Device : TED) ออกจากอวนลากกุ้ง ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย
ด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539 เป็นต้นมา จากข้อห้ามดังกล่าวทำให้กุ้งที่จับจากทะเลของไทย ซึ่ง
ส่งออกในรูปกุ้งกระป๋องและกุ้งปรุงแต่งได้รับผลกระทบโดยตรง สำหรับกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงซึ่ง
ส่งออกไปสหรัฐฯ ในรูปกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งสามารถส่งออกได้ตามปกติ แต่ต้องมีหนังสือรับรอง
จากกรมประมงว่าเป็นกุ้งจากการเพาะเลี้ยง หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องของไทยได้
พยายามดำเนินการเพื่อให้สหรัฐฯ ยอมรับว่าประเทศไทยมีโครงการหรือกฎหมายคุ้มครองเต่าทะเล
เทียบเท่าสหรัฐฯ โดยกรมประมงได้ออกกฎกระทรวงให้แยกอวนลากกุ้งและอวนลากปลาออกจากกัน และ
ให้ติดเครื่องมือ TED กับอวนลากกุ้ง รวมทั้งให้มีการจดทะเบียนเรือประมงที่ติดเครื่องมือ TED ทำให้
สหรัฐฯ ได้ถอนชื่อไทยออกจากบัญชีที่ถูกห้ามนำเข้ากุ้งเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2539 ส่ง
ผลให้กุ้งทุกชนิดของไทยทั้งที่จับจากทะเลและจากการเพาะเลี้ยง สามารถนำเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯ
ได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ นำกฎหมายภายในของตนออกมาใช้นอกอา
ณาเขตซึ่งเป็นการกีดกันการค้าได้อีก ประเทศไทยร่วมกับอินเดีย มาเลเซีย และปากีสถาน ได้ร่วมกันยื่น
ฟ้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก(WTO) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2539 ในเรื่องการห้ามนำเข้ากุ้ง
ทะเลจากประเทศที่ไม่มีเครื่องมืออนุรักษ์เต่าทะเล หรือ TED ซึ่งเป็นการนำกฎหมายมาบังคับใช้นอกอา
ณาเขต เป็นการผิดกฎ WTO
เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้ WTO ได้ตัดสินให้ผู้ฟ้องร้องได้รับชัยชนะในคดีนี้ ภายหลัง
จากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเต่าทะเลจากต่างประเทศ จำนวน 3 คน จากทั้งหมด 5 คน เห็นว่าการกระทำ
ของสหรัฐฯ ที่ห้ามนำเข้ากุ้งจากประเทศที่ทำประมงโดยมิได้ใช้เครื่องมือ TED เป็นการใช้มาตรการ
ภายในให้มีผลบังคับนอกอาณาเขตซึ่งไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติขององค์การการค้าโลก จากผลการตัดสินดัง
กล่าว คาดว่าสหรัฐฯ จะยื่นอุทธรณ์ต่อองค์กรระงับข้อพิพาท (DISPUTE SETTLEMENT BODY : DSB)
ในเร็ว ๆ นี้
การที่สหรัฐฯ ห้ามนำเข้ากุ้งทะเลดังกล่าวได้มีผลกระทบต่อการส่งออกกุ้งสดแช่เย็น
แช่แข็ง แม้ว่าจะเป็นกุ้งจากการเพาะเลี้ยงในการส่งออก แต่ก็ต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมง ซึ่ง
ต้องใช้เวลาดำเนินการระยะหนึ่ง ทำให้การส่งออกไม่สะดวกเท่าที่ควร ส่งผลให้การส่งออกกุ้งสดแช่
เย็นแช่แข็งไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2539 มีปริมาณ 22,895 ตัน มูลค่า
6,529.59 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.50 และ 5.21 ตามลำดับ สำหรับ
ปี 2540 ไทยส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปสหรัฐฯ ได้ 37,991 ตัน ลดลงจาก 41,812 ตันในปี
2539 ร้อยละ 9.14 ส่วนมูลค่ากลับเพิ่มขึ้นจาก 12,093 ล้านบาท ในปี 2539 เป็น 14,516 ล้าน
บาท ในปี 2540 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.04 สำหรับการส่งออกกุ้งกระป๋องไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 16 - 22 มี.ค. 2541--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
หอมหัวใหญ่ : ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ร้องขอให้รัฐช่วยเหลือด่วน เนื่องจาก
ไม่มีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อผลผลิต
ผลผลิต ราคาที่เกษตรกรขายได้ (บาท/กก.)
ปีเพาะปลูก มค. กพ. มีค.
(ตันสด) ส.1 ส.2 ส.3
2539/40 99,003 7.75 3.60 4.72 3.72 -
2540/41 81,479 19.06 14.63 8.00 5.00 5.00
แตกต่าง (ร้อยละ) -17.70 +145.94 306.39 +69.49 +34.41 -
หมายเหตุ : ส. คือสัปดาห์
เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2541 มีคณะผู้แทนจากสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ ในเขตจังหวัด
เชียงใหม่ และพ่อค้าผู้รับซื้อหอมหัวใหญ่ ได้เข้าร้องเรียนต่อรัฐมนตรีช่วย-ว่าการกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ) ขอให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหอมหัวใหญ่ในขณะนี้ ซึ่งภาวะการซื้อขายหอมหัว
ใหญ่ชะลอตัวลงอย่างมากจนเกือบไม่มีพ่อค้าเข้าไปรับซื้อผลผลิต ทั้งนี้เนื่องจาก การส่งออกหอมหัวใหญ่
ลดลง ประกอบกับพ่อค้าขาดสภาพคล่องไม่สามารถรับซื้อหอมหัวใหญ่ได้ ทำให้ราคาหอมหัวใหญ่ที่สมา
ชิกสหกรณ์สันป่าตองและแม่วางขายได้ลดลง และส่งผลกระทบให้สมาชิกสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฝางที่ไม่
มีโรงแขวนหอม ซึ่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาด ต้องได้รับความเดือดร้อน เพราะถูกพ่อค้ากดรา
คารับซื้อเหลือเพียงกิโลกรัมละ 3.00-3.50 บาท (ไม่ตัดจุก) ดังนั้น สหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่า
ตอง แม่วางและฝาง จึงขอให้รัฐเข้าช่วยเหลือโดยสนับสนุนเงินทุนให้พ่อค้าเข้าไปรับซื้อหอมหัวใหญ่
จากสมาชิกสหกรณ์ฯ
อนึ่ง ที่ประชุมซึ่งประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สหกรณ์ผู้ปลูก
หอมหัวใหญ่ และพ่อค้ารับซื้อหอมหัวใหญ่ ได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาซึ่งผลการประชุม สรุป
ได้ดังนี้
1. ให้สหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่สันป่าตอง แม่วาง และฝาง ลดพื้นที่ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีเพาะ
ปลูก 2541/42 ให้ได้จำนวน 3,000 ไร่ โดยให้ปลูกมันฝรั่งโรงงานทดแทน
2. ให้รัฐช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ให้กับผู้ประกอบการไปดำเนินการรับ
ซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่จากสมาชิกสหกรณ์ ตามปริมาณผลผลิตที่ได้จากจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการจัดสรร
และปลูกจริงเท่านั้น
3. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องเข้าไปรับซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่จากสมา
ชิกสหกรณ์ฯ สันป่าตอง และแม่วาง ประมาณ 3,500 ตัน ในราคากิโลกรัมละ 5.00 บาท และรับซื้อ
จากสมาชิกสหกรณ์ฯ ฝาง ที่ไม่มีโรงแขวนหอม จำนวน 1,194 ราย ผลผลิตประมาณ 10,000 ตัน ใน
ราคากิโลกรัมละ 4.00 บาท
ข้อคิดเห็น
ถ้าพิจารณาจากปริมาณผลผลิตหอมหัวใหญ่ ที่ลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 17.70 ในปีนี้ไม่น่าจะ
เกิดปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ได้ แต่เนื่องจากพ่อค้าผู้รับซื้อมีปัญหาขาดเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อ ในขณะ
เดียวกัน พ่อค้ารายใหญ่ได้ยุติการรับซื้อชั่วคราว เพื่อรอดูแนวทางช่วยเหลือของทางราชการ ในแง่ของ
เงิน คชก. เช่นที่เคยดำเนินการในปีก่อน ๆ ทำให้สมาชิกสหกรณ์ฝาง ที่ไม่มีโรงแขวนหอม ซึ่งต้องขาย
ผลผลิตสดได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น มาตรการแก้ไขปัญหาหอมหัวใหญ่ที่คณะอนุกรรมการจัดการการ
ผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง และหอมหัวใหญ่ มีมติเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2540 โดยเฉพาะ
การลดพื้นที่ปลูกหอมหัวใหญ่และการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ รวมทั้งการ
รณรงค์ชี้แจงให้เกษตรกรผู้ปลูกได้รับทราบปัญหาก่อนปลูก จะต้องได้รับการดำเนินการอย่างเร่งรัด และ
จริงจังมากยิ่งขึ้น
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
อ้อย : เงินบาทแข็งขึ้น คาดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย จะลดลง
ตามที่ชาวไร่อ้อยได้เรียกร้องขอปรับราคาอ้อยโดยให้เหตุผลว่า ต้นทุนการผลิต
สูงขึ้น และในเวลาเดียวกันคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีมติขอให้มีการปรับราคาน้ำตาลทราย
เพื่อการบริโภคภายในประเทศ จนทำให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.
ศ. 2527 ได้มีการประชุมหารือกันว่าสมควรที่จะให้มีการปรับราคาน้ำตาลทรายตามมติดังกล่าวหรือไม่
ในที่สุดได้ข้อสรุปร่วมกันว่าการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนยังไม่ถึงระดับที่ควรจะต้องมีการปรับราคา น้ำ
ตาลทรายภายในประเทศในขณะนี้ ในการประชุมดังกล่าวได้มีการประมาณการว่าตัวเลขราคาอ้อยขั้น
สุดท้ายของปีการผลิตปี 2540/41 จะมีราคาประมาณตันละ 764.90 บาท โดยยังไม่รวมรายได้จาก
กากน้ำตาลอีกตันละ 21.02 บาท ซึ่งการประมาณการดังกล่าวได้มีการคำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่
44.268 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ
แต่จากผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้ง
ด้านการขอเบิกเงินกู้งวดที่ 3 จาก IMF การผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการ รวมทั้งการให้ความช่วย
เหลือของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐฯได้มีแนวโน้มที่
แข็งค่าขึ้นมาตลอด ปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 39 - 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลให้รายได้ในส่วน
ของน้ำตาลส่งออกต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้ และจะส่งผลต่อเนื่องถึงราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ซึ่งจะต่ำกว่า
ที่ประมาณการไว้เดิมตามไปด้วย หากอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มเช่นนี้ชาวไร่อ้อยคงจะต้องมีการ
เรียกร้องเพื่อให้ได้ราคาอ้อยตามที่ได้มีการประมาณการไว้เดิมอย่างแน่นอน จึงอาจจำเป็นต้องเตรียม
การเพื่อแก้ไขปัญหานี้ไว้เป็นการล่วงหน้า
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 ยางพารา : คาดราคายางปีนี้จะไม่สูงกว่าปีที่ผ่านมา
ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดคะเนผลผลิต
ยางพารา ปี 2541 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา จะมีประมาณ 2.206 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 230 กิ
โลกรัม นั้น จากรายงานล่าสุดได้เกิดภาวะแห้งแล้งกระจายทั่วไปในแหล่งปลูกยางทั้งภาคใต้ ภาคตะวัน
ออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับ เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการบำรุงรักษาสวน อันเป็น
ผลจากราคาที่เกษตรกรได้รับในปี 2540 อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.42 บาท เทียบกับ
27.92 บาทที่เคยได้รับในปีก่อน หรือลดลงร้อยละ 11.16 รวมทั้งการที่ราคาปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะ
ปุ๋ยเคมีมีราคาเพิ่มสูงกว่าร้อยละ 20 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตของประเทศต่ำกว่า
ที่คาดคะเนไว้
แม้ว่าผลผลิตมีปริมาณลดลง แต่ก็คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้ในปี 2541 จะไม่
สูงกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะแถบเอเชีย ยังไม่พ้นภาวะวิกฤตเศรษฐ
กิจ ประกอบกับมีสต็อกเป็นจำนวนมากในประเทศผู้นำเข้า
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการร้องเรียนของเกษตรกร เนื่องจากต้นทุนการ
ผลิตต่อหน่วยที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รายได้ของเกษตรกรลดลง จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียม
มาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในการดำเนินการแทรกแซงตลาด หากเกิดราคาตกต่ำต่อไป
ผลผลิตยางพาราและราคายางแผ่นดิบ ชั้น 3 ที่เกษตรกรได้รับ
ผลผลิต(ล้านตัน) ราคา(บาท/กก.)
2539 2.120 27.92
2540 2.168 23.42
2541 2.206 -
มกราคม - 24.19
กุมภาพันธ์ - 29.52
มีนาคม - -
สัปดาห์ที่ 1 25.65
สัปดาห์ที่ 2 24.83
สัปดาห์ที่ 3 23.99
2.2 กุ้งทะเล : ไทยชนะสหรัฐคดี TED ในเวทีการค้าโลก
สหรัฐอเมริกาได้ระงับการนำเข้ากุ้งทะเลจาก 56 ประเทศ ที่ไม่ใช้เครื่องมือ
แยกเต่าทะเล (Turtle Excluder Device : TED) ออกจากอวนลากกุ้ง ซึ่งรวมทั้งประเทศไทย
ด้วย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2539 เป็นต้นมา จากข้อห้ามดังกล่าวทำให้กุ้งที่จับจากทะเลของไทย ซึ่ง
ส่งออกในรูปกุ้งกระป๋องและกุ้งปรุงแต่งได้รับผลกระทบโดยตรง สำหรับกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงซึ่ง
ส่งออกไปสหรัฐฯ ในรูปกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งสามารถส่งออกได้ตามปกติ แต่ต้องมีหนังสือรับรอง
จากกรมประมงว่าเป็นกุ้งจากการเพาะเลี้ยง หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องของไทยได้
พยายามดำเนินการเพื่อให้สหรัฐฯ ยอมรับว่าประเทศไทยมีโครงการหรือกฎหมายคุ้มครองเต่าทะเล
เทียบเท่าสหรัฐฯ โดยกรมประมงได้ออกกฎกระทรวงให้แยกอวนลากกุ้งและอวนลากปลาออกจากกัน และ
ให้ติดเครื่องมือ TED กับอวนลากกุ้ง รวมทั้งให้มีการจดทะเบียนเรือประมงที่ติดเครื่องมือ TED ทำให้
สหรัฐฯ ได้ถอนชื่อไทยออกจากบัญชีที่ถูกห้ามนำเข้ากุ้งเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2539 ส่ง
ผลให้กุ้งทุกชนิดของไทยทั้งที่จับจากทะเลและจากการเพาะเลี้ยง สามารถนำเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐฯ
ได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ นำกฎหมายภายในของตนออกมาใช้นอกอา
ณาเขตซึ่งเป็นการกีดกันการค้าได้อีก ประเทศไทยร่วมกับอินเดีย มาเลเซีย และปากีสถาน ได้ร่วมกันยื่น
ฟ้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก(WTO) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2539 ในเรื่องการห้ามนำเข้ากุ้ง
ทะเลจากประเทศที่ไม่มีเครื่องมืออนุรักษ์เต่าทะเล หรือ TED ซึ่งเป็นการนำกฎหมายมาบังคับใช้นอกอา
ณาเขต เป็นการผิดกฎ WTO
เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้ WTO ได้ตัดสินให้ผู้ฟ้องร้องได้รับชัยชนะในคดีนี้ ภายหลัง
จากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเต่าทะเลจากต่างประเทศ จำนวน 3 คน จากทั้งหมด 5 คน เห็นว่าการกระทำ
ของสหรัฐฯ ที่ห้ามนำเข้ากุ้งจากประเทศที่ทำประมงโดยมิได้ใช้เครื่องมือ TED เป็นการใช้มาตรการ
ภายในให้มีผลบังคับนอกอาณาเขตซึ่งไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติขององค์การการค้าโลก จากผลการตัดสินดัง
กล่าว คาดว่าสหรัฐฯ จะยื่นอุทธรณ์ต่อองค์กรระงับข้อพิพาท (DISPUTE SETTLEMENT BODY : DSB)
ในเร็ว ๆ นี้
การที่สหรัฐฯ ห้ามนำเข้ากุ้งทะเลดังกล่าวได้มีผลกระทบต่อการส่งออกกุ้งสดแช่เย็น
แช่แข็ง แม้ว่าจะเป็นกุ้งจากการเพาะเลี้ยงในการส่งออก แต่ก็ต้องมีหนังสือรับรองจากกรมประมง ซึ่ง
ต้องใช้เวลาดำเนินการระยะหนึ่ง ทำให้การส่งออกไม่สะดวกเท่าที่ควร ส่งผลให้การส่งออกกุ้งสดแช่
เย็นแช่แข็งไปสหรัฐฯ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2539 มีปริมาณ 22,895 ตัน มูลค่า
6,529.59 ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.50 และ 5.21 ตามลำดับ สำหรับ
ปี 2540 ไทยส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปสหรัฐฯ ได้ 37,991 ตัน ลดลงจาก 41,812 ตันในปี
2539 ร้อยละ 9.14 ส่วนมูลค่ากลับเพิ่มขึ้นจาก 12,093 ล้านบาท ในปี 2539 เป็น 14,516 ล้าน
บาท ในปี 2540 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.04 สำหรับการส่งออกกุ้งกระป๋องไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 16 - 22 มี.ค. 2541--