1. อินเดียเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 24 ของโลก โดยมีมูลค่าการนำเข้า 60,426,784,70 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.64 (ม.ค.-ส.ค. 2547) 2. แหล่งผลิตสำคัญที่อินเดียนำเข้าในปี 2547 (ม.ค.-ส.ค.) ได้แก่ - จีน ร้อยละ 5.95 มูลค่า 3,592.640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.35 - สหรัฐฯ ร้อยละ 5.63 มูลค่า 3,403.254 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.46 - เบลเยี่ยม ร้อยละ 4.73 มูลค่า 2,855.931 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.28 - สวิสเซอร์แลนด์ ร้อยละ 4.53 มูลค่า 2,739.955 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.52 - ไทยอยู่อันดับที่ 24 ร้อยละ 0.74 มูลค่า 448.552 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.85 3. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเซียขยายตัวอยู่ที่ 6.9% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2548 ลดจากปีก่อนหน้านี้ซึ่งเติบโตอยู่ที่ระดับ 8.5% โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงนี้เป็นผลมาจากลมพายุฤดูฝนทำลายพื้นที่เกษตรเสียหายเป็นจำนวนมาก และในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 6.5% 4. อินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 16 ของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออก 1.56 มีมูลค่าการส่งออก122.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 125.19 (ม.ค. 2548) หรือคิดเป็นร้อยละ 9.58 ของเป้าหมายการส่งออก 5. สินค้าไทยส่งออกไปอินเดีย (ม.ค. 2548) 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 90.23 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 500 มี 3 รายการ สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 200 มี 2 รายการ และสินค้าที่มีมูลค่าลดลงเกินกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปอินเดียที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง ม.ค. 2548 ตลาด อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ %เปลี่ยนแปลง สัดส่วน 2547 ร้อยละ 2548 ม.ค. 47 ม.ค. 48 เปลี่ยนแปลง ม.ค. ม.ค. 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปอินเดีย เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 500 มี 3 รายการ (1) ยางพารา 3 1.04 10.35 9.31 894.51 3.41 8.44 (2) เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 7 0.68 5.83 5.15 755.84 6.39 4.75 (3) หลอดภาพโทรทัศน์สี 22 0.00 0.95 0.95 52,953.13 0.52 0.78 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปอินเดีย เพิ่มขึ้นสูงมากกว่าร้อยละ 200 มี 2 รายการ (1) อัญมณีและเครื่องประดับ 6 1.69 5.91 4.22 248.86 3.61 4.82 (2) สายไฟฟ้า สายเคเบิล 13 0.72 2.39 1.67 232.31 1.99 1.95 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปอินเดีย ลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการ (1) เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ 10 5.20 3.41 -1.79 -34.48 2.98 2.78 (2) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ 16 1.60 1.25 -0.35 -21.86 2.11 1.02 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศการค้าภายใต้ข้อตกลงเอฟทีเอกับประเทศอินเดีย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายราเชนทร์ พจนสุนทร เปิดเผยว่าภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) ไทย - อินเดีย ที่ได้มีการเร่งลดภาษีระหว่างกันสำหรับสินค้าจำนวน 82 รายการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2547 เป็นต้นมา กรมการค้าต่างประเทศได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าให้กับผู้ส่งออกตั้งแต่เดือนกันยายน2547 จนถึงถึงเดือนมกราคม 2548 จำนวน 449 ฉบับ มูลค่า 27.83 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ขอหนังสือรับรองฯ ที่มีมูลค่ามากที่สุดได้แก่ โพลิคาร์บอเนต รองลงมาคือ หลอดภาพแคโทดเรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี อิพอกไซด์เรซิน อะลูมิเนียมเจือของอื่นๆ ทำด้วยเหล็กหรือลวดเหล็กกล้า เครื่องรับโทรทัศน์สีและเครื่องปรับอากาศ การส่งออก-นำเข้าสินค้าตามข้อมูลสถิติของกรมศุลกากรตั้งแต่เดือนกันยายน — ธันวาคม 2547 ไทยส่งออกสินค้าในรายการสินค้าที่ได้มีการเร่งลดภาษีระหว่างกันมูลค่า 63.64 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุดได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์สี ร้อยละ 40 รองลงมาคือ โพลิคาร์บอเนต ร้อยละ 13 ส่วนประกอบเครื่องยนต์ ร้อยละ 7 รัตนชาติไม่ได้ตกแต่ง ร้อยละ 6 หลอดภาพแคโทดเรย์ ของเครื่องรับโทรทัศน์สี ร้อยละ 5 และเครื่องปรับอากาศ ร้อยละ 5 อิพอกไซด์เรซิน ร้อยละ 4 และของอื่นๆ ทำด้วยเหล็กหรือลวดเหล็กกล้า ร้อยละ 3 ไทยนำเข้าสินค้าในรายการสินค้าที่ได้มีการเร่งลดภาษีระหว่างกันตั้งแต่เดือนกันยายน — ธันวาคม 2547 มูลค่า 16.40 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุดได้แก่ กระปุกเกียร์ ร้อยละ 25 รองลงมาคือ อะลูมิเนียมออกไซด์นอกจากคอรันดัมประดิษฐ์ ร้อยละ 13 หลอดภาพแคโทดเรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี ร้อยละ 12 ส่วนประกอบเครื่องเพชรพลอยทำด้วยโลหะ ร้อยละ 8 อะลูมิเนียมเจือ ร้อยละ 7 ส่วนประกอบเครื่องกรอง ร้อยละ 5 และโพลิคาร์บอเนต ร้อยละ 4 โดยตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนธันวาคม 2547 ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับอินเดียจำนวน 1,929 ล้านบาท 7. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น เอเอฟพี / วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่าแผนงบประมาณประจำปี 2548 ของอินเดียกำลัง มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่น ทางหลวง เครือข่ายทางรถไฟ ท่าเรือ สนามบิน ไฟฟ้า และโทรคมนาคม โดยหวังดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้อินเดียยังมุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน รวมถึงแนวทางสำหรับการลงทุนต่างชาติภาคธนาคารของอินเดียอีกด้วย ทั้งนี้เศรษฐกิจอินเดียกำลังโดดเด่น โดยคาดว่าจะขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 2 รองจากจีน เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียกำลังพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ หันมาให้ความสนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอินเดีย ทั้งด้านการทหารและความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า โดยสหรัฐฯ ยังคงรักษาตำแหน่งคู่ค้าอันดับหนึ่งของอินเดียติดต่อกันมา หลายปีแล้ว แม้ความสัมพันธ์ทางการเมืองยังไม่ค่อยแนบแน่นเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันอาเซียนก็กำลังมุ่งหน้าผูกสัมพันธ์กับอินเดีย โดยผู้นำอาเซียนตัดสินใจให้มีการเจรจาทำความตกลงเอฟทีเอกับอินเดีย จากรายงานของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจของอินเดียยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเป็นอันดับ 2 ในเอเซียรองจากจีน โดยคาดว่าในปี 2548 จะมีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าไปในอินเดียประมาณ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายชนะ คณารัตนดิลก เปิดเผยว่า ที่ประชุมอาเซียน เห็นพ้องว่าอาเซียนควรจะยกเลิกการเจรจาสินค้าเร่งลดภาษีกับอินเดียไปก่อน เนื่องจากอินเดียยืนกรานไม่ลดรายการสินค้า กำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าเฉพาะในกรอบสินค้าเร่งลดภาษี ซึ่งท่าทีของฝ่ายไทยเห็นว่าอาเซียนควรทำตามมติที่ประชุม เพื่อแสดงความเข้มแข็งและจุดยืนของอาเซียน อย่างไรก็ตามแม้การเจรจา ในกรอบอาเซียน-อินเดียจะหยุดชะงัก การเจรจาในกรอบเอฟทีเอไทย-อินเดียก็จะยังคงได้รับประโยชน์เนื่องจากอินเดียจะหันมาสนใจการเจรจากับไทยมากขึ้น อินเดียเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญอันดับ 1 ในเอเซียใต้ ซึ่งมีเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดนี้ให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 ในปี 2548 จึงได้มีแผนกิจกรรมส่งเสริมการส่งออก ดังนี้แผนส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยไปอินเดีย ปี 2548Study Mission เพื่อศึกษาตลาด - เมืองกัลกัตตา รัฐเบงกอล ตะวันตก เมือง Kuwahati รัฐอัสสัม เมืองชัยปุระ รัฐราชสถาน 23-30 มกราคม 2548 - เมือง Gandhinagar รัฐกุจราฐ เมือง Bhubaneshwar รัฐโอริสา 7-13 มีนาคม 2548 - เมืองกัลกัตตา เมือง Lucknow รัฐอุตตระประเทศ เมือง Patna รัฐบิฮาร์ 8-14 มีนาคม 2548Export Rally ผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทยเดินทางไปเจาะตลาดอินเดียในเมืองที่มีศักยภาพ - เมืองกัลกัตตา มีนาคม 2548 - เมือง Bhubaneshwai เมษายน 2548การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าใน ต่างประเทศ - World of Franchising, New Delhi (Franchisie) 17-19 มีนาคม 2548 - World of Food India, Hyderabad (Food) ธันวาคม 2548การเข้าร่วมงาน Thailand Exhibition - Chennai, India 8-10 กรกฎาคม 2548 - Bangalore, India 13-17 กรกฎาคม 2548 - Hyderabad, India 9-11 กันยายน 2548 - Mumbai, India พฤศจิกายน 2548 - Mumbai, India ธันวาคม 2548ข้อเสนอแนะในการเข้าสู่ตลาด 1. ควรมีการศึกษาระบบการค้า ภาษีและลักษณะการทำธุรกิจของคนอินเดียรวมทั้งลักษณะทางเศรษฐกิจ การเมืองของอินเดียให้เข้าใจ เนื่องจากมีความซับซ้อน และแต่ละแคว้นมีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเอง ภายใต้รัฐบาลกลาง ดังนั้น กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งสำคัญที่นักธุรกิจไทยที่ต้องการทำธุรกิจในอินเดียต้องศึกษา 2. โดยภาพรวมสามารถแบ่งอินเดียได้เป็น 2 ส่วน คือ เหนือและใต้ ทางเหนือจะมีความเป็นอนุรักษ์นิยม ลักษณะนิสัยของคนทางเหนือจะแข็งกร้าวกว่าคนทางใต้ รายได้โดยเฉลี่ยก็ต่ำกว่าทางใต้ แต่จำนวนประชากรมีมากและบางรัฐก็ได้เริ่มปรับเปลี่ยนวิถีทางดำรงชีวิต ดังนั้นการเข้าไปทำตลาด จึงควรเลือกเมืองและสินค้าที่จะเข้าไปให้มีความเหมาะสมรวมทั้งศึกษาช่องทางการจำหน่าย และคู่ค้าด้วย ส่วนทางใต้จะเปิดรับและคุ้นเคยกับต่างชาติมากกว่าประชาชนมีรายได้สูงนิยมการจับจ่ายใช้สอย การเข้าไปทำตลาดจะยุ่งยากน้อยกว่า ทั้งสินค้าและบริการหลายประเภทของไทยต่างก็มีศักยภาพแต่ในขณะเดียวกันคู่แข่งก็จะมากกว่า 3. การทำธุรกิจในอินเดีย นักธุรกิจไทยควรมีความรอบครอบและอดทนติดตาม ข่าวสารการเปลี่ยนแปลงภายในตลอดเวลา เพื่อจะได้ปรับตัวทันสถานการณ์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออกเห็นว่าตลาดอินเดียจะเป็นตลาดที่สำคัญของประเทศไทยอย่างแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการค้าภายในเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย (FTA) ซึ่งนอกจากจะทำให้ปัญหาด้านภาษีลดลงแล้วยังเป็นโอกาสที่ต่างชาติจะมาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อการส่งออกสินค้าไปยังประเทศอินเดียอีกด้วย ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-