กรุงเทพ--31 ส.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
สัปดาห์นี้ขอเล่าถึงผลการจัดงานเทศกาลสัปดาห์ไทย หรือ Thai Week ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี จัดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยที่เรื่องนี้ค่อนข้างยาวจึงขอใช้เนื้อที่ของคอลัมน์นี้จนหมด เนื่องจากเห็นว่าความสำเร็จของการจัดงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและคนไทยควรได้รับทราบว่าสถานทูตไทยในต่างประเทศของเรามีส่วนอย่างสำคัญในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมให้ชาวต่างประเทศได้รับรู้และรับทราบอย่างกว้างขวาง
แม้ว่าสถานทูตได้จัดงาน“เทศกาลสัปดาห์ไทย”ในกรุงนิวเดลีติดต่อกันมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาเป็นการจัดงานอยู่ภายในบริเวณสถานทูต ซึ่งมีขอบเขตค่อนข้างจำกัด และรับผู้คนที่เข้าไปชมงานได้ไม่มากนัก ในครั้งนี้สถานทูตได้เลือกสถานที่จัดงานขึ้นในศูนย์การค้า Ansal Plaza ย่านใจกลางกรุงนิวเดลีและเป็นที่สาธารณะ จึงได้รับการตอบรับจากประชาชนชาวอินเดีย รวมทั้งนักธุรกิจและสื่อมวลชนอย่างดีมาก ตลอดเวลาทั้ง 3 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 22-24 กรกฏาคม มีผู้คนเข้าร่วมชมงานประมาณ 20,000 คน
จุดมุ่งหมายของการจัดงานครั้งนี้ ก็เพื่อนำศักยภาพและจุดเด่นของประเทศไทยในทุกด้านทั้ง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และอาหารไทยไปส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นในอินเดีย นอกจากนี้ ยังได้เน้นถึงบทบาทของไทยในการเป็น “ครัวไทยสู่โลก” โดยการเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้ชิมอาหารไทย ผลไม้ไทย อีกทั้งสัมผัสกับวัฒนธรรมไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในปีนี้ สถานทูตได้ผนวกโครงการ “ครัวไทยสู่อินเดีย” เข้ากับเทศกาลสัปดาห์ไทยด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะขยายความนิยมอาหารไทยไปสู่ตลาดชาวอินเดียระดับกลาง คนวัยทำงาน และวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตและมีกำลังซื้อสูง โดยเน้นการแนะนำให้คนอินเดียรู้จักอาหารไทยรสชาดแบบไทยแท้ๆ ที่ปรุงโดยพ่อครัว/แม่ครัวไทย ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันราชภัฏสวนดุสิต จำนวน 5 คน ไปสาธิตและเปิดสอนหลักสูตรการทำอาหารไทยยอดนิยม อาทิ แกงเขียวหวาน ผัดไทย ต้มยำกุ้ง ให้คนอินเดียได้ทดลองชิม รวมทั้งจัดให้ร้านอาหารไทยในอินเดียส่งพ่อครัว/แม่ครัวไทยมาร่วมออกร้านในงาน ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากผู้มาร่วมงานอย่างล้นหลามจนอาหารไม่พอขาย
นอกจากอาหารไทยจะได้รับความสนใจจากชาวอินเดียจำนวนมากแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารไทยประเภทต่างๆ ที่ส่งไปจากเมืองไทย ก็ได้รับการอุดหนุนจากชาวอินเดียซื้อไปประกอบอาหารไทยรับประทานเองที่บ้าน และผู้ส่งออกสินค้าโอทอปของไทยยังได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจอินเดีย เพื่อสั่งนำเข้าไปจำหน่ายในอินเดียด้วย
จุดที่ดึงดูดความสนใจของชาวอินเดียรองลงไป คือ มังคุดและลำไย ซึ่งเป็นผลไม้ที่อยู่ในรายการ FTA ของไทย-อินเดีย โดยสถานทูตได้นำผลไม้ดังกล่าวจำนวน 1 ตันไปให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิมฟรีตลอดงานเพื่อขยายผล FTA อีกทางหนึ่ง และเป็นการช่วยระบายลำไยสู่ตลาดต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลด้วย ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมงานชาวอินเดียนิยมผลไม้ทั้งสองชนิดเป็นอย่างมาก จนถึงกับขอซื้อในราคาแพงๆ แม้สถานทูตยืนยันว่าไม่ขายเพราะต้องการให้คนจำนวนมากได้ชิมและรู้ถึงรสชาดผลไม้ไทยมากกว่า แต่ก็ยังมีผู้มาขอซื้อตลอดเวลา อีกทั้งมีผู้สอบถามถึงการนำเข้าผลไม้ไปจำหน่ายในอินเดียอีกด้วย
นอกจากนี้ ในงานมีการออกร้านสินค้าไทยจำนวน 30 ร้าน ทั้งที่อยู่ในรายการ FTA ไทย-อินเดีย และสินค้าอื่นๆ ที่มีช่องทางส่งออกไปขายในตลาดอินเดีย ได้แก่ สินค้าอาหาร สินค้าโอทอป เครื่องตกแต่งบ้าน ดอกไม้ประดิษฐ์ อัญมณี และเครื่องประดับสตรี กระเป๋าถือ เครื่องหนัง เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าทอพื้นเมืองของไทย เสื้อผ้าสำเร็จรูปสมัยใหม่ สินค้าสปา และเครื่องหอม/น้ำหอมดับกลิ่น ปรากฎว่ามีนักธุรกิจอินเดียหลายรายติดต่อขอนำเข้า หรือขอให้ผลิตสินค้าในนามร้านของตน ตลอดจนผลิตให้แก่นักออกแบบชาวอินเดียโดยเฉพาะ สินค้าประเภทอาหาร สินค้าโอทอป เครื่องประดับ เครื่องหนัง และเครื่องหอมดับกลิ่น เป็นต้น
นอกจากอาหารและสินค้าไทยเป็นที่สนใจและรู้จักของชาวอินเดียมากขึ้นแล้ว ยังมีผลพลอยได้ตามมา คือ ร้านอาหารไทยบางร้าน เช่น ร้านอาหารบลู เอลลิแฟน จากโรงแรม เดอะ แกรนด์ อินเตอร์-คอนติเนลตัล กรุงนิวเดลี ซึ่งกิจการเริ่มซบเซา ก็ได้รับความสนใจตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เพราะได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มมากขึ้น ผลที่เป็นรูปธรรมอีกประการคือ โรงแรมแชงกริล่า ที่กำลังจะเปิดใหม่ได้ติดต่อกับโรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต เพื่อขอให้มาร่วมจัดเทศกาลอาหารไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ห้องอาหารของโรงแรมในเร็วๆ นี้
ชาวอินเดียผู้เข้าร่วมงานโดยทั่วไปเห็นว่า สถานทูตควรจัดงานในลักษณะนี้ขึ้นอีกทุกๆ ปี เพื่อจะได้สัมผัสกับสินค้าคุณภาพ และศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของไทยอีก และในแง่ของการขยายผลในด้านความนิยมสินค้าไทย อาหารไทย และผลไม้ไทย นับได้ว่างานนี้ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ คือ กลุ่มชนชั้นกลางระดับบน กลุ่มคนวัยทำงาน และกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เข้าไปชมงาน
สถานทูตหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการครัวไทยสู่อินเดียจะปูทางไปสู่การขยายร้านอาหารไทยและบุกเบิกตลาดอาหารและผลิตภัณฑ์ในการประกอบอาหารไทยในตลาดอินเดีย รวมทั้งการร่วมลงทุนหรือการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารระหว่างไทย-อินเดียต่อไปในอนาคต
งานนี้จะไม่สามารถประสบผลสำเร็จอย่างงดงามเช่นนี้ได้ หากทีมประเทศไทยในอินเดียไม่ร่วมแรงแข็งขันเพื่อผลักดันโครงการ “ครัวไทยสู่อินเดีย”อย่างจริงจังด้วยการทำงานแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินการในรูปแบบใหม่ๆ อาทิ เช่น การจ้างประชาสัมพันธ์มืออาชีพ และลงโฆษณาในสื่ออินเดียทุกประเภทเป็นระยะๆ ทั้งก่อนงานและระหว่างงาน จัดทำ Billboard ขนาดยักษ์ติดที่หน้าศูนย์การค้า กระจายสื่อด้วยโปสเตอร์และแผ่นพับตามจุดต่างๆ ทั่วกรุงนิวเดลี รวมถึงการเปลี่ยนสถานที่จัดงานเพื่อให้ชาวอินเดียในกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงเป็นจำนวนมากด้วย
และประการสำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยควรภาคภูมิใจมากที่สุด คือ ความพร้อมของประเทศไทย ในแง่ของศักยภาพทางเศรษฐกิจ อาหารเลิศรส แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และวัฒนธรรมอันงดงามและล้ำค่ายากที่จะหาได้ในประเทศอื่นๆ เพราะหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะมีปัจจัยอื่นเกื้อหนุนเพียงไร ก็ไม่อาจจะจัดงานส่งเสริมประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
สัปดาห์นี้ขอเล่าถึงผลการจัดงานเทศกาลสัปดาห์ไทย หรือ Thai Week ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี จัดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยที่เรื่องนี้ค่อนข้างยาวจึงขอใช้เนื้อที่ของคอลัมน์นี้จนหมด เนื่องจากเห็นว่าความสำเร็จของการจัดงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและคนไทยควรได้รับทราบว่าสถานทูตไทยในต่างประเทศของเรามีส่วนอย่างสำคัญในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมให้ชาวต่างประเทศได้รับรู้และรับทราบอย่างกว้างขวาง
แม้ว่าสถานทูตได้จัดงาน“เทศกาลสัปดาห์ไทย”ในกรุงนิวเดลีติดต่อกันมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วก็ตาม แต่ที่ผ่านมาเป็นการจัดงานอยู่ภายในบริเวณสถานทูต ซึ่งมีขอบเขตค่อนข้างจำกัด และรับผู้คนที่เข้าไปชมงานได้ไม่มากนัก ในครั้งนี้สถานทูตได้เลือกสถานที่จัดงานขึ้นในศูนย์การค้า Ansal Plaza ย่านใจกลางกรุงนิวเดลีและเป็นที่สาธารณะ จึงได้รับการตอบรับจากประชาชนชาวอินเดีย รวมทั้งนักธุรกิจและสื่อมวลชนอย่างดีมาก ตลอดเวลาทั้ง 3 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 22-24 กรกฏาคม มีผู้คนเข้าร่วมชมงานประมาณ 20,000 คน
จุดมุ่งหมายของการจัดงานครั้งนี้ ก็เพื่อนำศักยภาพและจุดเด่นของประเทศไทยในทุกด้านทั้ง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และอาหารไทยไปส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นในอินเดีย นอกจากนี้ ยังได้เน้นถึงบทบาทของไทยในการเป็น “ครัวไทยสู่โลก” โดยการเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้ชิมอาหารไทย ผลไม้ไทย อีกทั้งสัมผัสกับวัฒนธรรมไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยและอินเดียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในปีนี้ สถานทูตได้ผนวกโครงการ “ครัวไทยสู่อินเดีย” เข้ากับเทศกาลสัปดาห์ไทยด้วย โดยมีเป้าหมายที่จะขยายความนิยมอาหารไทยไปสู่ตลาดชาวอินเดียระดับกลาง คนวัยทำงาน และวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตและมีกำลังซื้อสูง โดยเน้นการแนะนำให้คนอินเดียรู้จักอาหารไทยรสชาดแบบไทยแท้ๆ ที่ปรุงโดยพ่อครัว/แม่ครัวไทย ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันราชภัฏสวนดุสิต จำนวน 5 คน ไปสาธิตและเปิดสอนหลักสูตรการทำอาหารไทยยอดนิยม อาทิ แกงเขียวหวาน ผัดไทย ต้มยำกุ้ง ให้คนอินเดียได้ทดลองชิม รวมทั้งจัดให้ร้านอาหารไทยในอินเดียส่งพ่อครัว/แม่ครัวไทยมาร่วมออกร้านในงาน ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากผู้มาร่วมงานอย่างล้นหลามจนอาหารไม่พอขาย
นอกจากอาหารไทยจะได้รับความสนใจจากชาวอินเดียจำนวนมากแล้ว ผลิตภัณฑ์อาหารไทยประเภทต่างๆ ที่ส่งไปจากเมืองไทย ก็ได้รับการอุดหนุนจากชาวอินเดียซื้อไปประกอบอาหารไทยรับประทานเองที่บ้าน และผู้ส่งออกสินค้าโอทอปของไทยยังได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจอินเดีย เพื่อสั่งนำเข้าไปจำหน่ายในอินเดียด้วย
จุดที่ดึงดูดความสนใจของชาวอินเดียรองลงไป คือ มังคุดและลำไย ซึ่งเป็นผลไม้ที่อยู่ในรายการ FTA ของไทย-อินเดีย โดยสถานทูตได้นำผลไม้ดังกล่าวจำนวน 1 ตันไปให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิมฟรีตลอดงานเพื่อขยายผล FTA อีกทางหนึ่ง และเป็นการช่วยระบายลำไยสู่ตลาดต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาลด้วย ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมงานชาวอินเดียนิยมผลไม้ทั้งสองชนิดเป็นอย่างมาก จนถึงกับขอซื้อในราคาแพงๆ แม้สถานทูตยืนยันว่าไม่ขายเพราะต้องการให้คนจำนวนมากได้ชิมและรู้ถึงรสชาดผลไม้ไทยมากกว่า แต่ก็ยังมีผู้มาขอซื้อตลอดเวลา อีกทั้งมีผู้สอบถามถึงการนำเข้าผลไม้ไปจำหน่ายในอินเดียอีกด้วย
นอกจากนี้ ในงานมีการออกร้านสินค้าไทยจำนวน 30 ร้าน ทั้งที่อยู่ในรายการ FTA ไทย-อินเดีย และสินค้าอื่นๆ ที่มีช่องทางส่งออกไปขายในตลาดอินเดีย ได้แก่ สินค้าอาหาร สินค้าโอทอป เครื่องตกแต่งบ้าน ดอกไม้ประดิษฐ์ อัญมณี และเครื่องประดับสตรี กระเป๋าถือ เครื่องหนัง เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าทอพื้นเมืองของไทย เสื้อผ้าสำเร็จรูปสมัยใหม่ สินค้าสปา และเครื่องหอม/น้ำหอมดับกลิ่น ปรากฎว่ามีนักธุรกิจอินเดียหลายรายติดต่อขอนำเข้า หรือขอให้ผลิตสินค้าในนามร้านของตน ตลอดจนผลิตให้แก่นักออกแบบชาวอินเดียโดยเฉพาะ สินค้าประเภทอาหาร สินค้าโอทอป เครื่องประดับ เครื่องหนัง และเครื่องหอมดับกลิ่น เป็นต้น
นอกจากอาหารและสินค้าไทยเป็นที่สนใจและรู้จักของชาวอินเดียมากขึ้นแล้ว ยังมีผลพลอยได้ตามมา คือ ร้านอาหารไทยบางร้าน เช่น ร้านอาหารบลู เอลลิแฟน จากโรงแรม เดอะ แกรนด์ อินเตอร์-คอนติเนลตัล กรุงนิวเดลี ซึ่งกิจการเริ่มซบเซา ก็ได้รับความสนใจตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง เพราะได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มมากขึ้น ผลที่เป็นรูปธรรมอีกประการคือ โรงแรมแชงกริล่า ที่กำลังจะเปิดใหม่ได้ติดต่อกับโรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต เพื่อขอให้มาร่วมจัดเทศกาลอาหารไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ห้องอาหารของโรงแรมในเร็วๆ นี้
ชาวอินเดียผู้เข้าร่วมงานโดยทั่วไปเห็นว่า สถานทูตควรจัดงานในลักษณะนี้ขึ้นอีกทุกๆ ปี เพื่อจะได้สัมผัสกับสินค้าคุณภาพ และศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของไทยอีก และในแง่ของการขยายผลในด้านความนิยมสินค้าไทย อาหารไทย และผลไม้ไทย นับได้ว่างานนี้ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ คือ กลุ่มชนชั้นกลางระดับบน กลุ่มคนวัยทำงาน และกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เข้าไปชมงาน
สถานทูตหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการครัวไทยสู่อินเดียจะปูทางไปสู่การขยายร้านอาหารไทยและบุกเบิกตลาดอาหารและผลิตภัณฑ์ในการประกอบอาหารไทยในตลาดอินเดีย รวมทั้งการร่วมลงทุนหรือการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารระหว่างไทย-อินเดียต่อไปในอนาคต
งานนี้จะไม่สามารถประสบผลสำเร็จอย่างงดงามเช่นนี้ได้ หากทีมประเทศไทยในอินเดียไม่ร่วมแรงแข็งขันเพื่อผลักดันโครงการ “ครัวไทยสู่อินเดีย”อย่างจริงจังด้วยการทำงานแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการดำเนินการในรูปแบบใหม่ๆ อาทิ เช่น การจ้างประชาสัมพันธ์มืออาชีพ และลงโฆษณาในสื่ออินเดียทุกประเภทเป็นระยะๆ ทั้งก่อนงานและระหว่างงาน จัดทำ Billboard ขนาดยักษ์ติดที่หน้าศูนย์การค้า กระจายสื่อด้วยโปสเตอร์และแผ่นพับตามจุดต่างๆ ทั่วกรุงนิวเดลี รวมถึงการเปลี่ยนสถานที่จัดงานเพื่อให้ชาวอินเดียในกลุ่มเป้าหมายได้เข้าถึงเป็นจำนวนมากด้วย
และประการสำคัญซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยควรภาคภูมิใจมากที่สุด คือ ความพร้อมของประเทศไทย ในแง่ของศักยภาพทางเศรษฐกิจ อาหารเลิศรส แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และวัฒนธรรมอันงดงามและล้ำค่ายากที่จะหาได้ในประเทศอื่นๆ เพราะหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะมีปัจจัยอื่นเกื้อหนุนเพียงไร ก็ไม่อาจจะจัดงานส่งเสริมประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-