แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. แจ้งเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล รายงานจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ได้มีหนังสือเวียนไปยัง
ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั่วประเทศ ทั้ง ธ.พาณิชย์ บริษัทเงินทุน และนอนแบงก์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
สินเชื่อส่วนบุคคลที่ออกมาบังคับใช้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 ซึ่งครบ 1 ปีเต็มแล้ว จึงมีการประเมินความคุ้มครองที่ให้แก่ผู้บริโภค โดย ธปท. ได้หารือ
กับผู้ประกอบการและเห็นร่วมกันที่จะเพิ่มเงื่อนไขที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้บริโภคยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นคือ กำหนดให้ผู้ประกอบ
ธุรกิจจัดทำตารางแสดงภาระหนี้ของผู้บริโภคแต่ละรายเป็นรายงวด ประกอบด้วย จำนวนเงินที่ผู้บริโภคต้องชำระ โดยแยกให้ชัดเจนระหว่างเงินต้น
และดอกเบี้ยรวมถึงค่าธรรมเนียม ตลอดจนเงินต้นคงค้างที่ต้องมอบให้ผู้บริโภคเมื่อมีการทำสัญญาขอสินเชื่อหรือเมื่อมีการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้
ต้องจัดทำใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายละเอียดการชำระหนี้โดยแยกเป็นเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องแสดงยอดหนี้ทั้งในส่วนที่ค้างชำระและที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยแยกเป็นเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ไว้ในใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงินด้วย โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.50 เป็นต้นไป ส่วนเงื่อนไขอื่นยังคงไว้ตามเดิม
เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจะต้องไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี เป็นต้น (มติชน)
2. ธปท. มีแนวคิดยืดอายุเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผอส. ธปท. สนง.ภาคใต้
เปิดเผยว่า ธปท. มีแนวคิดที่จะยืดอายุการช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะครบกำหนดอายุในเดือน
ก.พ.50 ออกไปอีก เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ยังคงอยู่ โดยเฉพาะภายหลังที่มีการลอบวางระเบิดธนาคารในจังหวัดยะลาเมื่อเร็ว ๆ
นี้ โดยเงินกู้ดังกล่าวมีวงเงินทั้งหมด 20,000 ล้านบาท มีการเบิกใช้ไปแล้ว 11,000 ล้านบาท ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลา
และสตูลที่ได้รับผลกระทบด้วยนั้น ได้อนุมัติความช่วยเหลือไปแล้ว 112 ราย วงเงิน 3,393 ล้านบาท คิดเป็นวงเงินในส่วนของ ธปท. ร้อยละ
60 หรือเท่ากับ 2,035.8 ล้านบาท และส่วนที่สถาบันการเงินสมทบอีกร้อยละ 40 เท่ากับ 1,357.2 ล้านบาท ทำให้ยังมีวงเงินที่จะให้ความ
ช่วยเหลืออยู่อีก 1,607 ล้านบาท ดังนั้น ธปท. จึงได้ขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือทางเงินแก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและสตูลหลัง
จากสิ้นสุดระยะเวลาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จนกว่า ธปท. จะให้ความเห็นชอบอนุมัติวงเงินจนเต็มจำนวนที่กำหนด หรือไม่เกินสิ้นปี 51 โดย
กำหนดให้แต่ละสถาบันการเงินยื่นขอความช่วยเหลือตามโครงการภายในวันที่ 22 ของแต่ละเดือน สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในข่ายได้รับความ
ช่วยเหลือจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า
ร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกิจการท่องเที่ยว เช่น กิจการโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และกิจการค้าปลีกค้าส่ง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. สศค. เสนอปฏิรูปธุรกิจ ธ.พาณิชย์ ตั้งองค์กรอิสระดูแลสถาบันการเงิน นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผอ.ส่วนนโยบายระบบการ
เงิน สนง.เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ผลการศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพของ
สถาบันการเงินในประเทศพบว่า ยังมีความอ่อนแอในหลายด้าน เช่น ธ.พาณิชย์มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ค่อนข้างสูง ขณะที่รายได้
ของ ธ.พาณิชย์ต่อพนักงานอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูง และอัตราผลตอบแทนของ ธ.พาณิชย์ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ สำหรับ
ข้อเสนอเพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องปฏิรูปธุรกิจ ธ.พาณิชย์ โดยตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายเกี่ยวกับสถาบันการเงินทั้งระบบ รวมทั้งเปิดโอกาสและส่งเสริมสถาบันการเงิน เช่น ส่งเสริมให้ ธ.พาณิชย์ที่
เข้มแข็งให้เป็นธนาคารเอนกประสงค์ หรือ Universal Bank ซึ่งให้บริการการเงินทุกอย่างโดยไม่ต้องตั้งบริษัทในเครือ นอกจากนี้ ต้องเร่ง
จัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากแบบจำกัดวงเงิน เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ผู้ฝากเงิน ขณะเดียวกันต้องพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงและ
เปิดโอกาสให้มีการควบรวมกิจการมากขึ้น เพื่อเพิ่มเงินกองทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งปรับปรุงการบริหารองค์กรและการให้
บริการให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐควรมีการแยกบัญชีระหว่างธุรกรรมเชิงพาณิชย์และธุรกรรมตาม
นโยบายรัฐ เพื่อสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงและสร้างความโปร่งใสถูกต้องในกรณีที่รัฐจะต้องชดเชยเงินให้ ขณะที่การกำกับดูแลจะ
ต้องเหมาะสมโดยใช้กรอบเดียวกับมาตรฐาน Basel และสร้างศูนย์กลางระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกิดจากการรวมตัวและบริหารโดย
สถาบันการเงินเฉพาะกิจเอง ด้านธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) มีปัญหาอุปสรรคจากการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับ
ซึ่งไม่สอดคล้องกันในบางข้อ ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดระเบียบปฏิบัติที่ครอบคลุมและชัดเจน อีกทั้งเกณฑ์การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจแต่ละประเภท
มีความแตกต่างกันหรือไม่มีการกำกับดูแลเลย ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดทิศทางที่ชัดเจนและอยู่บนมาตรฐานการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน จึงควร
ออกกฎหมายเฉพาะสำหรับธุรกิจนอนแบงก์ที่ครอบคลุม ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหน่วยงานหลัก
ในการพัฒนาธุรกิจนอนแบงก์ พัฒนาศูนย์ข้อมูลเครดิตให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัย รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่
ดูแลกันเองด้วย (โลกวันนี้)
4. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากจะลดลงในปี 50 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั้ง
เงินกู้และเงินฝากจะลดลงในปี 50 ประมาณร้อยละ 0.75 ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR จะอยู่ที่ร้อยละ 7.25 และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน
จะอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และในปี 51 จะปรับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งการที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยของ สรอ. ในปีหน้า
จะลดลงเหลือร้อยละ 4 จากปัจจุบันร้อยละ 5.25 และดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.50 — 4.00 รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ
ภายในประเทศด้วย (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สหภาพยุโรปร้องขอให้สรอ. โอนอ่อนในการเจรจาการค้าโลกให้มากขึ้น รายงานจาก บราซิล เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 49 ผู้บริหาร
ระดับสูงของสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า การเจรจาการค้าโลกที่ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจาก ประเด็นการให้การอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรของ
ประเทศร่ำรวย จึงเรียกร้องให้ สรอ. ยกเลิกการให้การอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรเพื่อขจัดข้อขัดแย้งในการเจรจาการค้าโลก ทั้งนี้นาย
Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าโลกกล่าวภายหลังการพบปะกันของผู้นำระดับสูงของประเทศร่ำรวยซึ่งตกลงที่จะทบทวนการประชุมของ
องค์การการค้าโลกที่ล้มเหลวในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังมิได้กำหนดวันที่จะเจรจากันเพื่อทบทวนประเด็นดังกล่าว แต่มีความเป็น
ไปได้ที่จะจัดให้มีการเจรจากันเพื่อทบทวนอุปสรรคดังกล่าวภายหลังจากการเลือกตั้งของสรอ. ในเดือน พ.ย. (รอยเตอร์)
2. IMF เรียกร้องให้จีนปรับค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รายงานจาก วอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 49 กองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า จีนจำเป็นต้องปล่อยให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินของจีนมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้เมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้วจีนเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์ สรอ. มาเป็นการให้เงินหยวน
เคลื่อนไหวภายใต้การจัดการที่อ้างอิงจากสกุลเงินของประเทศคู่ค้าสำคัญในตะกร้าเงิน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของ สรอ. ตำหนิ
ว่าเงินหยวนยังมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงที่ควรจะเป็นทำให้ผู้ผลิตสินค้าของจีนได้เปรียบในตลาดการค้าโลก ซึ่งสรอ.ได้กดดันให้จีนดำเนินการกับ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นให้มากขึ้นเพื่อให้เงินหยวนอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อความเป็นธรรมให้ตลาดโลก(รอยเตอร์)
3. จนท.ระดับสูงของ ธ.กลาง สรอ.เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี รายงานจากบอสตัน เมื่อ
11 ก.ย.49 Cathy Minehan และ William Poole ซึ่งทั้งสองเป็นหัวหน้า สนง.ธ.กลาง สรอ.ประจำมลรัฐบอสตันและเซนต์หลุยส์ตามลำดับ
ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในขณะนี้ว่าแม้ว่าตลาดบ้านที่อยู่อาศัยกำลังชะลอตัวลงซึ่งเห็นได้จากตัวเลขการขออนุญาตสร้าง
บ้านใหม่ที่ลดลง ความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้รับเหมาก่อสร้าง แนวโน้มที่สูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน และจำนวนบ้านที่ยังขายไม่ได้ แต่
ทั้งสองกลับมีความเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดูจากการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ในส่วนที่เกี่ยวกับ
ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในขณะนี้ ทั้งสองเห็นตรงกันว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของผู้ผลิตสูงขึ้น แต่คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจ
ชะลอตัวลงในปี 50 ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงด้วย อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของ ธ.กลาง สรอ.ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ขึ้นอยู่
กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่จะได้รับเข้ามาใหม่ด้วยว่าเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางใด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดการ
เงินส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยคงที่อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 20 ก.ย.49 ที่จะถึงนี้ (รอยเตอร์)
4. ดัชนี CGPI ของญี่ปุ่นในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ 12 ก.ย.49 ธ.กลางญี่ปุ่น
Corporate Goods Price Index (CGPI) ของญี่ปุ่น ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มดัชนีราคาสินค้าขายส่ง ในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4
เทียบจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า นับเป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 25 ปี สาเหตุจากน้ำมันดิบ โลหะ และสินค้าสำเร็จรูปมีราคา
เพิ่มสูงขึ้น และสนับสนุนมุมมองที่ว่า ญี่ปุ่นกำลังก้าวพ้นจากภาวะเงินฝืด ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาด
คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 12 ก.ย. 49 11 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.481 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.2582/37.5492 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.10406 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 686.03/10.81 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,450/10,550 10,600/11,700 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.4 60.42 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ย. 49 26.79*/25.99* 27.19/26.39 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. แจ้งเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล รายงานจาก ธปท. แจ้งว่า ธปท. ได้มีหนังสือเวียนไปยัง
ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั่วประเทศ ทั้ง ธ.พาณิชย์ บริษัทเงินทุน และนอนแบงก์ เพื่อแจ้งเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการประกอบธุรกิจ
สินเชื่อส่วนบุคคลที่ออกมาบังคับใช้ตั้งแต่เดือน มิ.ย.48 ซึ่งครบ 1 ปีเต็มแล้ว จึงมีการประเมินความคุ้มครองที่ให้แก่ผู้บริโภค โดย ธปท. ได้หารือ
กับผู้ประกอบการและเห็นร่วมกันที่จะเพิ่มเงื่อนไขที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้บริโภคยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นคือ กำหนดให้ผู้ประกอบ
ธุรกิจจัดทำตารางแสดงภาระหนี้ของผู้บริโภคแต่ละรายเป็นรายงวด ประกอบด้วย จำนวนเงินที่ผู้บริโภคต้องชำระ โดยแยกให้ชัดเจนระหว่างเงินต้น
และดอกเบี้ยรวมถึงค่าธรรมเนียม ตลอดจนเงินต้นคงค้างที่ต้องมอบให้ผู้บริโภคเมื่อมีการทำสัญญาขอสินเชื่อหรือเมื่อมีการอนุมัติสินเชื่อ นอกจากนี้
ต้องจัดทำใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายละเอียดการชำระหนี้โดยแยกเป็นเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องแสดงยอดหนี้ทั้งในส่วนที่ค้างชำระและที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยแยกเป็นเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ไว้ในใบแจ้งหนี้หรือใบเสร็จรับเงินด้วย โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.50 เป็นต้นไป ส่วนเงื่อนไขอื่นยังคงไว้ตามเดิม
เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจะต้องไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี เป็นต้น (มติชน)
2. ธปท. มีแนวคิดยืดอายุเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผอส. ธปท. สนง.ภาคใต้
เปิดเผยว่า ธปท. มีแนวคิดที่จะยืดอายุการช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะครบกำหนดอายุในเดือน
ก.พ.50 ออกไปอีก เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ยังคงอยู่ โดยเฉพาะภายหลังที่มีการลอบวางระเบิดธนาคารในจังหวัดยะลาเมื่อเร็ว ๆ
นี้ โดยเงินกู้ดังกล่าวมีวงเงินทั้งหมด 20,000 ล้านบาท มีการเบิกใช้ไปแล้ว 11,000 ล้านบาท ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลา
และสตูลที่ได้รับผลกระทบด้วยนั้น ได้อนุมัติความช่วยเหลือไปแล้ว 112 ราย วงเงิน 3,393 ล้านบาท คิดเป็นวงเงินในส่วนของ ธปท. ร้อยละ
60 หรือเท่ากับ 2,035.8 ล้านบาท และส่วนที่สถาบันการเงินสมทบอีกร้อยละ 40 เท่ากับ 1,357.2 ล้านบาท ทำให้ยังมีวงเงินที่จะให้ความ
ช่วยเหลืออยู่อีก 1,607 ล้านบาท ดังนั้น ธปท. จึงได้ขยายระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือทางเงินแก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและสตูลหลัง
จากสิ้นสุดระยะเวลาเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จนกว่า ธปท. จะให้ความเห็นชอบอนุมัติวงเงินจนเต็มจำนวนที่กำหนด หรือไม่เกินสิ้นปี 51 โดย
กำหนดให้แต่ละสถาบันการเงินยื่นขอความช่วยเหลือตามโครงการภายในวันที่ 22 ของแต่ละเดือน สำหรับผู้ประกอบการที่อยู่ในข่ายได้รับความ
ช่วยเหลือจะต้องเป็นผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยซึ่งมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกินกว่า
ร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกิจการท่องเที่ยว เช่น กิจการโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และกิจการค้าปลีกค้าส่ง (กรุงเทพธุรกิจ)
3. สศค. เสนอปฏิรูปธุรกิจ ธ.พาณิชย์ ตั้งองค์กรอิสระดูแลสถาบันการเงิน นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผอ.ส่วนนโยบายระบบการ
เงิน สนง.เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ผลการศึกษาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพของ
สถาบันการเงินในประเทศพบว่า ยังมีความอ่อนแอในหลายด้าน เช่น ธ.พาณิชย์มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ค่อนข้างสูง ขณะที่รายได้
ของ ธ.พาณิชย์ต่อพนักงานอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนการประกอบธุรกิจสูง และอัตราผลตอบแทนของ ธ.พาณิชย์ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ สำหรับ
ข้อเสนอเพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องปฏิรูปธุรกิจ ธ.พาณิชย์ โดยตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการกำกับดูแลและกำหนดนโยบายเกี่ยวกับสถาบันการเงินทั้งระบบ รวมทั้งเปิดโอกาสและส่งเสริมสถาบันการเงิน เช่น ส่งเสริมให้ ธ.พาณิชย์ที่
เข้มแข็งให้เป็นธนาคารเอนกประสงค์ หรือ Universal Bank ซึ่งให้บริการการเงินทุกอย่างโดยไม่ต้องตั้งบริษัทในเครือ นอกจากนี้ ต้องเร่ง
จัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากแบบจำกัดวงเงิน เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ผู้ฝากเงิน ขณะเดียวกันต้องพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงและ
เปิดโอกาสให้มีการควบรวมกิจการมากขึ้น เพื่อเพิ่มเงินกองทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งปรับปรุงการบริหารองค์กรและการให้
บริการให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐควรมีการแยกบัญชีระหว่างธุรกรรมเชิงพาณิชย์และธุรกรรมตาม
นโยบายรัฐ เพื่อสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงและสร้างความโปร่งใสถูกต้องในกรณีที่รัฐจะต้องชดเชยเงินให้ ขณะที่การกำกับดูแลจะ
ต้องเหมาะสมโดยใช้กรอบเดียวกับมาตรฐาน Basel และสร้างศูนย์กลางระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เกิดจากการรวมตัวและบริหารโดย
สถาบันการเงินเฉพาะกิจเอง ด้านธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) มีปัญหาอุปสรรคจากการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับ
ซึ่งไม่สอดคล้องกันในบางข้อ ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดระเบียบปฏิบัติที่ครอบคลุมและชัดเจน อีกทั้งเกณฑ์การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจแต่ละประเภท
มีความแตกต่างกันหรือไม่มีการกำกับดูแลเลย ทำให้การดำเนินธุรกิจขาดทิศทางที่ชัดเจนและอยู่บนมาตรฐานการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน จึงควร
ออกกฎหมายเฉพาะสำหรับธุรกิจนอนแบงก์ที่ครอบคลุม ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งหน่วยงานหลัก
ในการพัฒนาธุรกิจนอนแบงก์ พัฒนาศูนย์ข้อมูลเครดิตให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนและทันสมัย รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่
ดูแลกันเองด้วย (โลกวันนี้)
4. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากจะลดลงในปี 50 บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จก. เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั้ง
เงินกู้และเงินฝากจะลดลงในปี 50 ประมาณร้อยละ 0.75 ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ MLR จะอยู่ที่ร้อยละ 7.25 และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน
จะอยู่ที่ร้อยละ 3.50 และในปี 51 จะปรับขึ้นเล็กน้อย ซึ่งการที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยของ สรอ. ในปีหน้า
จะลดลงเหลือร้อยละ 4 จากปัจจุบันร้อยละ 5.25 และดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.50 — 4.00 รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ
ภายในประเทศด้วย (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สหภาพยุโรปร้องขอให้สรอ. โอนอ่อนในการเจรจาการค้าโลกให้มากขึ้น รายงานจาก บราซิล เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 49 ผู้บริหาร
ระดับสูงของสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า การเจรจาการค้าโลกที่ต้องหยุดชะงักลงเนื่องจาก ประเด็นการให้การอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรของ
ประเทศร่ำรวย จึงเรียกร้องให้ สรอ. ยกเลิกการให้การอุดหนุนสินค้าทางการเกษตรเพื่อขจัดข้อขัดแย้งในการเจรจาการค้าโลก ทั้งนี้นาย
Peter Mandelson กรรมาธิการการค้าโลกกล่าวภายหลังการพบปะกันของผู้นำระดับสูงของประเทศร่ำรวยซึ่งตกลงที่จะทบทวนการประชุมของ
องค์การการค้าโลกที่ล้มเหลวในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังมิได้กำหนดวันที่จะเจรจากันเพื่อทบทวนประเด็นดังกล่าว แต่มีความเป็น
ไปได้ที่จะจัดให้มีการเจรจากันเพื่อทบทวนอุปสรรคดังกล่าวภายหลังจากการเลือกตั้งของสรอ. ในเดือน พ.ย. (รอยเตอร์)
2. IMF เรียกร้องให้จีนปรับค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รายงานจาก วอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 49 กองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า จีนจำเป็นต้องปล่อยให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินของจีนมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้เมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้วจีนเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินดอลลาร์ สรอ. มาเป็นการให้เงินหยวน
เคลื่อนไหวภายใต้การจัดการที่อ้างอิงจากสกุลเงินของประเทศคู่ค้าสำคัญในตะกร้าเงิน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของ สรอ. ตำหนิ
ว่าเงินหยวนยังมีค่าต่ำกว่าความเป็นจริงที่ควรจะเป็นทำให้ผู้ผลิตสินค้าของจีนได้เปรียบในตลาดการค้าโลก ซึ่งสรอ.ได้กดดันให้จีนดำเนินการกับ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นให้มากขึ้นเพื่อให้เงินหยวนอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อความเป็นธรรมให้ตลาดโลก(รอยเตอร์)
3. จนท.ระดับสูงของ ธ.กลาง สรอ.เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี รายงานจากบอสตัน เมื่อ
11 ก.ย.49 Cathy Minehan และ William Poole ซึ่งทั้งสองเป็นหัวหน้า สนง.ธ.กลาง สรอ.ประจำมลรัฐบอสตันและเซนต์หลุยส์ตามลำดับ
ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในขณะนี้ว่าแม้ว่าตลาดบ้านที่อยู่อาศัยกำลังชะลอตัวลงซึ่งเห็นได้จากตัวเลขการขออนุญาตสร้าง
บ้านใหม่ที่ลดลง ความเชื่อมั่นที่ลดลงของผู้รับเหมาก่อสร้าง แนวโน้มที่สูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน และจำนวนบ้านที่ยังขายไม่ได้ แต่
ทั้งสองกลับมีความเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจ สรอ.ยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดูจากการลงทุนของภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ในส่วนที่เกี่ยวกับ
ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในขณะนี้ ทั้งสองเห็นตรงกันว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของผู้ผลิตสูงขึ้น แต่คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจ
ชะลอตัวลงในปี 50 ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงด้วย อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของ ธ.กลาง สรอ.ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ขึ้นอยู่
กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่จะได้รับเข้ามาใหม่ด้วยว่าเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางใด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดการ
เงินส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยคงที่อยู่ที่ร้อยละ 5.25 ต่อปีในการประชุมในวันที่ 20 ก.ย.49 ที่จะถึงนี้ (รอยเตอร์)
4. ดัชนี CGPI ของญี่ปุ่นในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เทียบต่อปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ 12 ก.ย.49 ธ.กลางญี่ปุ่น
Corporate Goods Price Index (CGPI) ของญี่ปุ่น ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มดัชนีราคาสินค้าขายส่ง ในเดือน ส.ค.49 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4
เทียบจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า นับเป็นอัตราการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 25 ปี สาเหตุจากน้ำมันดิบ โลหะ และสินค้าสำเร็จรูปมีราคา
เพิ่มสูงขึ้น และสนับสนุนมุมมองที่ว่า ญี่ปุ่นกำลังก้าวพ้นจากภาวะเงินฝืด ขณะที่เมื่อเทียบต่อเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาด
คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 12 ก.ย. 49 11 ก.ย. 49 31 ม.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 37.481 39.078 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 37.2582/37.5492 38.9113/39.2013 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.10406 4.29375 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 686.03/10.81 762.63/12.66 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,450/10,550 10,600/11,700 10,350/10,450 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 60.4 60.42 60.96 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลดลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ย. 49 26.79*/25.99* 27.19/26.39 27.24/24.69 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--