ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ศึกษาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้สั่งการให้สายนโยบายการเงิน ธปท. ศึกษาความเป็นไปได้ในการ
เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อ ตามกรอบการดำเนินนโยบายภายใต้เป้าหมายเงินเฟ้อ จากปัจจุบันที่ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายและ
มีกรอบว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะต้องอยู่ระหว่าง 0-3.5% เพื่อให้ทันสมัยและตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ขณะนี้ ธปท.ได้ศึกษา
เสร็จแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเสนอให้ กนง.พิจารณาในการประชุมวันที่ 18 ก.ค.นี้หรือไม่ เพราะยังไม่ได้กำหนดวาระการประชุม
อย่างเป็นทางการ โดยการปรับปรุงเป้าหมายเงินเฟ้อจะพิจารณาใน 2 แนวทางคือ จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายเช่นเดิมหรือไม่
หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นเป้าหมายแทน โดยหากใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายเช่นเดิมจะต้องพิจารณาว่า
กรอบ 0-3.5% เดิมยังทันสมัยและตอบสนองภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้หรือไม่ หรือควรเปลี่ยนแปลงอย่างไร และหากจะเปลี่ยนเป็นอัตรา
เงินเฟ้อทั่วไป การกำหนดอัตราที่เหมาะสม นอกจากจะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจไทยแล้ว จะต้องพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของประเทศ
คู่ค้าและคู่แข่งทางการค้าของไทย โดยมองไป 4-5 ปีข้างหน้า และกำหนดกรอบอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เพื่อรักษาความ
สามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.มีแนวคิดในการเปิดเผยสัดส่วนการออกเสียงพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.มีแนวคิดที่จะเปิดเผยสัดส่วนการออกเสียงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อจะช่วยส่งสัญญาณให้ตลาดสามารถคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยได้ก่อนการประชุมครั้งถัดไป (กรุงเทพธุรกิจ)
3. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 50 มีแนวโน้มขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการ
สายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการออกแบบสอบถามสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าหากเศรษฐกิจจะขยายตัวจะต้องขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ การส่งออก
การบริโภคภายในประเทศ และภาคธนาคารต้องเป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปี แนวโน้มเศรษฐกิจน่า
จะมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ยกเว้นยังมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและราคาน้ำมัน ซึ่ง
รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาการชะลอตัวด้านการลงทุนที่ติดลบถึง 1.4% และอสังหาริมทรัพย์ที่ติดลบ 20% (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน)
4. ผลการสำรวจพบว่าครัวเรือน 50% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข รายงานข่าวจากสำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทยเกี่ยวกับความเข้มแข็งและ
เป็นธรรมทางเศรษฐกิจว่า ปัจจุบันครัวเรือนในประเทศเกือบ 50% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข เนื่องจากมีภาระหนี้สินสูง
ส่งผลให้เกิดการออมเงินต่ำ แม้ว่าภาวะการมีงานทำจะดีขึ้นจนทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับมีครัวเรือนที่มีความสุขจาก
สถานภาพตัวเองทางเศรษฐกิจลดลงต่อเนื่อง โดยสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่ารายจ่ายมีประมาณ 10% ลดลงจาก 58.29 ของครัวเรือน
ทั้งหมดในปี 45 มาอยู่ที่ 56.20 ในปี 49 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนในส่วนที่เหลืออีกเกือบ 50% ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้
เช่นเดียวกับเมื่อพิจารณารายได้และรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนพบว่า อัตราการเพิ่มของรายจ่ายใกล้เคียงกับอัตราการเพิ่มของรายได้
โดยรายจ่ายครัวเรือนไทยปรับเพิ่มขึ้นจาก 10,889 บาทต่อเดือนในปี 45 เป็น 14,311 บาทต่อเดือนในปี 49 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.43%
ขณะที่อัตราหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นจาก 82,485 บาทในปี 45 เป็น 116,585 บาทในปี 49 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.33% สำหรับภาวะ
การออม สศช.มองว่าครัวเรือนยังมีแนวโน้มเก็บออมเงินลดลงตามภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นจากเงินเฟ้อในช่วงปี 45-49 ประกอบกับ
พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงจากการบริโภคสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ มาเป็นบริโภคสินค้าเกี่ยวกับภาคบริการและสินค้าที่มี
คุณภาพมากขึ้น ประกอบกับกลยุทธ์การตลาด ที่เอื้อให้ครัวเรือนใช้จ่ายและมีหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยเงินออมลดลงจากเดิมเฉลี่ย 3,907 บาทต่อครัวเรือน
ในปี 45 มาอยู่ที่ 3,491 บาทต่อครัวเรือนในปี 49 (มติชน, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศ G7 และ OECD ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นทั้งหมด รายงานจากปารีส เมื่อ 6 ก.ค.50 องค์การเพื่อความ
ร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Cooperation and Development - OECD) เปิดเผยว่า
ดัชนี Composite Leading Indicator (CLI) ของประเทศในกลุ่ม G7 ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 106.0 หลังจากที่อยู่ที่
ระดับ 105.5 ในเดือน เม.ย.50 ส่วนอัตราการขยายตัว CLI ในรอบ 6 เดือน (ซึ่งเป็นตัวเลขบ่งชี้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าดัชนี CLI)
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.9 หลังจากที่อยู่ที่ระดับ 1.2 ในเดือน เม.ย.50 (เป็นตัวเลขที่ทบทวนแล้ว จากที่รายงานเบื้องต้นอยู่ที่ระดับ
1.1) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ดัชนีดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากดัชนีบ่งชี้ของญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยเห็นได้จากอัตราการขยายตัวในรอบ
6 เดือนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 0.6 ในเดือน พ.ค.50 จากระดับ -0.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ดัชนี CLI ก็เพิ่มขึ้นอีก 0.7 จุดด้วย
สำหรับดัชนี CLI ของประเทศสมาชิก OECD 30 ประเทศในเดือน พ.ค.50 อยู่ที่ระดับ 110.1 เพิ่มขึ้นจากระดับ 109.6 ในเดือน เม.ย.50
อนึ่ง จากผลสำรวจดัชนี CLI พบว่า อัตราการขยายตัวของประเทศที่ยังอยู่ในระดับเดิม คือ จีน อินเดีย บราซิล ส่วนประเทศที่มีการฟื้นตัวคือ
รัสเซีย ขณะที่ประเทศที่มีการทบทวนดัชนี CLI ใหม่ คือ แคนาดา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฟินแลนด์ กรีซ และสวีเดน (รอยเตอร์)
2. อัตราการจ้างงานใหม่ของ สรอ. เดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้น 132,000 อัตรา สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากกรุงวอชิงตัน
ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 6 ก.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. รายงานว่า อัตราการจ้างงานใหม่ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้น 132,000 อัตรา
สูงกว่าผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 120,000 อัตรา พร้อมกันนี้ได้มีการทบทวนตัวเลข
การจ้างงานใหม่ของเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็น 190,000 อัตรา จากเดิมที่รายงานไว้ 157,000 อัตรา และของเดือน เม.ย. เป็น
122,000 อัตรา จากเดิม 80,000 อัตรา ซึ่งอัตราการจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า
มีการฟื้นตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากชะงักงันในไตรมาสแรก ขณะที่ชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาและค่าเฉลี่ยจำนวนชั่วโมง
การทำงานใน 1 สัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. อาจจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานได้
ด้านอัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 ในเดือน มิ.ย. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน พ.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานใหม่ทั้งหมด
ในเดือน มิ.ย. เป็นตัวเลขในภาคอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งรวมถึงการบริการด้านสุขภาพและธุรกิจการดูแลให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการบริหาร
จัดการต่าง ๆ โดยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 135,000 อัตรา ในขณะที่ภาคการผลิตสินค้าลดลง 3,000 อัตรา (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ต่อเดือนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 6 ก.ค.50 ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีรายงานตัวเลขเบื้องต้นคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.2 ในเดือน พ.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 และสูงกว่าที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้เมื่อสัปดาห์
ก่อนว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อเดือน หลังจากลดลงร้อยละ 1.6 ในเดือน เม.ย.50 ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.4 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ต่อเดือน สอดคล้องกับผลสำรวจดัชนี PMI ก่อนหน้านี้ที่
ชี้ว่าภาคการผลิตของเยอรมนีขยายตัวในเดือน มิ.ย.50 ที่ผ่านมาในอัตราสูงสุดในรอบ 5 เดือน นอกจากนี้ คำสั่งซื้อจากในประเทศที่เป็นสินค้า
สำหรับผู้บริโภคยังขยายตัวถึงร้อยละ 2.9 ต่อเดือน ชี้ให้เห็นแนวโน้มว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะสูงขึ้นในอีกหลายเดือนหลังจากนี้นอกเหนือ
จากสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตต่อที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และร้อยละ 2.4 ต่อเดือนตามลำดับ แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคน
ที่คาดว่าภาคการผลิตจะชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนหลังจากนี้จากอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ก.เศรษฐกิจมีกำหนด
จะรายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมสำหรับเดือน พ.ค.50 ในวันที่ 9 ก.ค.50 นี้ซึ่งคาดว่าผลผลิตอาจขยายตัวร้อยละ 1.0 ต่อเดือน หลังจาก
ลดลงร้อยละ 2.3 ต่อเดือนในเดือน เม.ย.50 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจของจีนเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ของจีนเปิดเผยผลการสำรวจกิจการทุกประเภทจำนวน 19,500 แห่งเพื่อสะท้อนภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และนโยบายเศรษฐกิจมหภาคพบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจจีน (business confidence index) ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ที่ 143.1 จุดเพิ่มขึ้นจาก
ระดับเดิมที่ 142.0 จุดในไตรมาสแรก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่คาดว่าเศรษฐกิจของจีนจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจขยายตัวอย่างมาก และนักวิเคราะห์คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสที่ 2
ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งจากร้อยละ 11.1 ในไตรมาสแรก โดยธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งมีความเชื่อมั่นมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเฉพาะธุรกิจสื่อสาร คอมพิวเตอร์ และซอฟแวร์มีความเชื่อมั่นลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ส่วนดัชนีภาวะเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น
อย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ระดับ 146.0 จุด เพิ่มขึ้นจากระดับ 139.7 จุดในไตรมาสแรก และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่ง
ผลการสำรวจบ่งชี้ว่าภาวะธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการบริการสาธารณะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.ค. 50 6 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.022 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.7947/34.1441 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.67281 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 832.38/29.34 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,500/10,600 10,450/10,550 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 70.88 70.43 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 30.39*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 7 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ศึกษาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้สั่งการให้สายนโยบายการเงิน ธปท. ศึกษาความเป็นไปได้ในการ
เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อ ตามกรอบการดำเนินนโยบายภายใต้เป้าหมายเงินเฟ้อ จากปัจจุบันที่ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายและ
มีกรอบว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะต้องอยู่ระหว่าง 0-3.5% เพื่อให้ทันสมัยและตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ขณะนี้ ธปท.ได้ศึกษา
เสร็จแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเสนอให้ กนง.พิจารณาในการประชุมวันที่ 18 ก.ค.นี้หรือไม่ เพราะยังไม่ได้กำหนดวาระการประชุม
อย่างเป็นทางการ โดยการปรับปรุงเป้าหมายเงินเฟ้อจะพิจารณาใน 2 แนวทางคือ จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายเช่นเดิมหรือไม่
หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นเป้าหมายแทน โดยหากใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมายเช่นเดิมจะต้องพิจารณาว่า
กรอบ 0-3.5% เดิมยังทันสมัยและตอบสนองภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้หรือไม่ หรือควรเปลี่ยนแปลงอย่างไร และหากจะเปลี่ยนเป็นอัตรา
เงินเฟ้อทั่วไป การกำหนดอัตราที่เหมาะสม นอกจากจะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจไทยแล้ว จะต้องพิจารณาอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของประเทศ
คู่ค้าและคู่แข่งทางการค้าของไทย โดยมองไป 4-5 ปีข้างหน้า และกำหนดกรอบอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เพื่อรักษาความ
สามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์)
2. ธปท.มีแนวคิดในการเปิดเผยสัดส่วนการออกเสียงพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.มีแนวคิดที่จะเปิดเผยสัดส่วนการออกเสียงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อจะช่วยส่งสัญญาณให้ตลาดสามารถคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยได้ก่อนการประชุมครั้งถัดไป (กรุงเทพธุรกิจ)
3. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 50 มีแนวโน้มขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการ
สายงานเศรษฐกิจ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการออกแบบสอบถามสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าหากเศรษฐกิจจะขยายตัวจะต้องขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ การส่งออก
การบริโภคภายในประเทศ และภาคธนาคารต้องเป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปี แนวโน้มเศรษฐกิจน่า
จะมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ยกเว้นยังมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองและราคาน้ำมัน ซึ่ง
รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาการชะลอตัวด้านการลงทุนที่ติดลบถึง 1.4% และอสังหาริมทรัพย์ที่ติดลบ 20% (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน)
4. ผลการสำรวจพบว่าครัวเรือน 50% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข รายงานข่าวจากสำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทยเกี่ยวกับความเข้มแข็งและ
เป็นธรรมทางเศรษฐกิจว่า ปัจจุบันครัวเรือนในประเทศเกือบ 50% มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข เนื่องจากมีภาระหนี้สินสูง
ส่งผลให้เกิดการออมเงินต่ำ แม้ว่าภาวะการมีงานทำจะดีขึ้นจนทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับมีครัวเรือนที่มีความสุขจาก
สถานภาพตัวเองทางเศรษฐกิจลดลงต่อเนื่อง โดยสัดส่วนครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่ารายจ่ายมีประมาณ 10% ลดลงจาก 58.29 ของครัวเรือน
ทั้งหมดในปี 45 มาอยู่ที่ 56.20 ในปี 49 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนในส่วนที่เหลืออีกเกือบ 50% ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้
เช่นเดียวกับเมื่อพิจารณารายได้และรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนพบว่า อัตราการเพิ่มของรายจ่ายใกล้เคียงกับอัตราการเพิ่มของรายได้
โดยรายจ่ายครัวเรือนไทยปรับเพิ่มขึ้นจาก 10,889 บาทต่อเดือนในปี 45 เป็น 14,311 บาทต่อเดือนในปี 49 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.43%
ขณะที่อัตราหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นจาก 82,485 บาทในปี 45 เป็น 116,585 บาทในปี 49 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.33% สำหรับภาวะ
การออม สศช.มองว่าครัวเรือนยังมีแนวโน้มเก็บออมเงินลดลงตามภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นจากเงินเฟ้อในช่วงปี 45-49 ประกอบกับ
พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงจากการบริโภคสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ มาเป็นบริโภคสินค้าเกี่ยวกับภาคบริการและสินค้าที่มี
คุณภาพมากขึ้น ประกอบกับกลยุทธ์การตลาด ที่เอื้อให้ครัวเรือนใช้จ่ายและมีหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยเงินออมลดลงจากเดิมเฉลี่ย 3,907 บาทต่อครัวเรือน
ในปี 45 มาอยู่ที่ 3,491 บาทต่อครัวเรือนในปี 49 (มติชน, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี CLI ของกลุ่มประเทศ G7 และ OECD ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นทั้งหมด รายงานจากปารีส เมื่อ 6 ก.ค.50 องค์การเพื่อความ
ร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (The Organisation for Economic Cooperation and Development - OECD) เปิดเผยว่า
ดัชนี Composite Leading Indicator (CLI) ของประเทศในกลุ่ม G7 ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 106.0 หลังจากที่อยู่ที่
ระดับ 105.5 ในเดือน เม.ย.50 ส่วนอัตราการขยายตัว CLI ในรอบ 6 เดือน (ซึ่งเป็นตัวเลขบ่งชี้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าดัชนี CLI)
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1.9 หลังจากที่อยู่ที่ระดับ 1.2 ในเดือน เม.ย.50 (เป็นตัวเลขที่ทบทวนแล้ว จากที่รายงานเบื้องต้นอยู่ที่ระดับ
1.1) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ดัชนีดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากดัชนีบ่งชี้ของญี่ปุ่นฟื้นตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยเห็นได้จากอัตราการขยายตัวในรอบ
6 เดือนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 0.6 ในเดือน พ.ค.50 จากระดับ -0.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ดัชนี CLI ก็เพิ่มขึ้นอีก 0.7 จุดด้วย
สำหรับดัชนี CLI ของประเทศสมาชิก OECD 30 ประเทศในเดือน พ.ค.50 อยู่ที่ระดับ 110.1 เพิ่มขึ้นจากระดับ 109.6 ในเดือน เม.ย.50
อนึ่ง จากผลสำรวจดัชนี CLI พบว่า อัตราการขยายตัวของประเทศที่ยังอยู่ในระดับเดิม คือ จีน อินเดีย บราซิล ส่วนประเทศที่มีการฟื้นตัวคือ
รัสเซีย ขณะที่ประเทศที่มีการทบทวนดัชนี CLI ใหม่ คือ แคนาดา ญี่ปุ่น อังกฤษ ฟินแลนด์ กรีซ และสวีเดน (รอยเตอร์)
2. อัตราการจ้างงานใหม่ของ สรอ. เดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้น 132,000 อัตรา สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รายงานจากกรุงวอชิงตัน
ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 6 ก.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. รายงานว่า อัตราการจ้างงานใหม่ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้น 132,000 อัตรา
สูงกว่าผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 120,000 อัตรา พร้อมกันนี้ได้มีการทบทวนตัวเลข
การจ้างงานใหม่ของเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นเป็น 190,000 อัตรา จากเดิมที่รายงานไว้ 157,000 อัตรา และของเดือน เม.ย. เป็น
122,000 อัตรา จากเดิม 80,000 อัตรา ซึ่งอัตราการจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า
มีการฟื้นตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังจากชะงักงันในไตรมาสแรก ขณะที่ชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาและค่าเฉลี่ยจำนวนชั่วโมง
การทำงานใน 1 สัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. อาจจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานได้
ด้านอัตราการว่างงานของประเทศอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 ในเดือน มิ.ย. ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน พ.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานใหม่ทั้งหมด
ในเดือน มิ.ย. เป็นตัวเลขในภาคอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งรวมถึงการบริการด้านสุขภาพและธุรกิจการดูแลให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการบริหาร
จัดการต่าง ๆ โดยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 135,000 อัตรา ในขณะที่ภาคการผลิตสินค้าลดลง 3,000 อัตรา (รอยเตอร์)
3. คำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ต่อเดือนสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 6 ก.ค.50 ก.เศรษฐกิจของเยอรมนีรายงานตัวเลขเบื้องต้นคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานของเยอรมนีหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.2 ในเดือน พ.ค.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 และสูงกว่าที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้เมื่อสัปดาห์
ก่อนว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อเดือน หลังจากลดลงร้อยละ 1.6 ในเดือน เม.ย.50 ทั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ
ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 4.4 ต่อเดือน ในขณะที่คำสั่งซื้อจากในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ต่อเดือน สอดคล้องกับผลสำรวจดัชนี PMI ก่อนหน้านี้ที่
ชี้ว่าภาคการผลิตของเยอรมนีขยายตัวในเดือน มิ.ย.50 ที่ผ่านมาในอัตราสูงสุดในรอบ 5 เดือน นอกจากนี้ คำสั่งซื้อจากในประเทศที่เป็นสินค้า
สำหรับผู้บริโภคยังขยายตัวถึงร้อยละ 2.9 ต่อเดือน ชี้ให้เห็นแนวโน้มว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะสูงขึ้นในอีกหลายเดือนหลังจากนี้นอกเหนือ
จากสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตต่อที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และร้อยละ 2.4 ต่อเดือนตามลำดับ แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคน
ที่คาดว่าภาคการผลิตจะชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนหลังจากนี้จากอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันและค่าเงินยูโรที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ก.เศรษฐกิจมีกำหนด
จะรายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมสำหรับเดือน พ.ค.50 ในวันที่ 9 ก.ค.50 นี้ซึ่งคาดว่าผลผลิตอาจขยายตัวร้อยละ 1.0 ต่อเดือน หลังจาก
ลดลงร้อยละ 2.3 ต่อเดือนในเดือน เม.ย.50 (รอยเตอร์)
4. ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจของจีนเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ของจีนเปิดเผยผลการสำรวจกิจการทุกประเภทจำนวน 19,500 แห่งเพื่อสะท้อนภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และนโยบายเศรษฐกิจมหภาคพบว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจจีน (business confidence index) ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ที่ 143.1 จุดเพิ่มขึ้นจาก
ระดับเดิมที่ 142.0 จุดในไตรมาสแรก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่คาดว่าเศรษฐกิจของจีนจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
ทั้งนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจขยายตัวอย่างมาก และนักวิเคราะห์คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสที่ 2
ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งจากร้อยละ 11.1 ในไตรมาสแรก โดยธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งมีความเชื่อมั่นมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเฉพาะธุรกิจสื่อสาร คอมพิวเตอร์ และซอฟแวร์มีความเชื่อมั่นลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ส่วนดัชนีภาวะเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น
อย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ระดับ 146.0 จุด เพิ่มขึ้นจากระดับ 139.7 จุดในไตรมาสแรก และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่ง
ผลการสำรวจบ่งชี้ว่าภาวะธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการบริการสาธารณะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ก.ค. 50 6 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.022 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.7947/34.1441 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.67281 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 832.38/29.34 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,500/10,600 10,450/10,550 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 70.88 70.43 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 30.39*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 7 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--