พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 11 พฤษภาคม 2558 - 17 พฤษภาคม 2558

ข่าวทั่วไป Monday May 11, 2015 15:15 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 11 พฤษภาคม 2558 - 17 พฤษภาคม 2558

ภาคเหนือ

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดในบางพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 22-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-41 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกได้บางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้ง เพราะจะทำให้เสียหายได้ รวมทั้งไม่ควรเข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาสูงๆ
  • สำหรับสภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือฉีดน้ำบริเวณหลังคา เพื่อลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ป้องกันสัตว์เครียด
  • ส่วนเกษตรกรที่เตรียมดินไว้สำหรับปลูกพืชในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง และเตรียมทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่การเกษตรให้พร้อม เนื่องจากระยะต่อไปจะมีฝนเพิ่มขึ้น

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกได้บางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. มีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง ส่วนมากทางด้านตะวันออก และตอนล่างของภาค ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งและปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งขณะมีฝนฟ้าคะนอง
  • ระยะนี้บางพื้นที่แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณยังไม่มากและการกระจายยังมีน้อย เกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชควรรอให้มีฝนตกสม่ำเสมอแล้วค่อยลงมือปลูก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำของพืชในระยะต้นอ่อน
  • สำหรับสภาพที่มีแดดจัดในช่วงกลางวัน เกษตรกรไม่ควรอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หากมีความจำเป็นต้องทำงานกลางแดดควรสวมเครื่องป้องกันแสงแดดให้มิดชิด เพื่อป้องกันผิวหนังไหม้เกรียม และดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
  • เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นฤดูฝน ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรสำรวจตรวจสอบโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้มีความมั่นคงแข็งแรง หลังคาไม่รั่วซึม พื้นคอกไม่ชื้นแฉะ เพื่อป้องกันสัตว์เปียกชื้น อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคกลาง

อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-39 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 11-15 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 16-17 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ กับมีลม กระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากทางด้านตะวันตก และตอนล่างของภาค ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาสูงๆ
  • สำหรับพื้นที่การเกษตรที่อยู่ในที่ลุ่ม เกษตรกรควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง และเตรียมทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่การเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปเป็นช่วงฤดูฝน ปริมาณฝนจะเพิ่มมากขึ้น
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยง ควรเตรียมวัสดุสำหรับกั้นขอบบ่อเพื่อป้องกันน้ำฝนไหลลงบ่อ ซึ่งจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนแปลงกะทันหัน อาจทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

อากาศร้อนในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 25-29 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-38 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-60 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

  • เกษตรกรที่เตรียมดินสำหรับปลูกพืชในระยะนี้ ควรเตรียมดินให้มีการระบายน้ำที่ดี และจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำขังในพื้นที่เพาะปลูก เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนในระยะต่อไป
  • ส่วนไม้ผลที่อยู่ในระยะผลแก่และเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวสวนควรดูแลบริเวณพื้นที่เพาะปลูกให้โล่งเตียน และไม่ควรกองสุมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยเฉพาะเปลือกและผลที่เน่าเสียร่วงหล่นของผลไม้ไว้ในสวน เพราะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของโรค และแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะโรคจำพวกเชื้อรา ซึ่งมักระบาดในช่วงอากาศชื้น

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-60 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

  • สัปดาห์นี้ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น บริเวณที่มีฝนตกหนัก เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตรในระยะต่อไป
  • สำหรับเกษตรกรที่เตรียมดินไว้สำหรับปลูกพืชในช่วงฤดูฝนนี้ควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง และเตรียมทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่การเกษตรให้พร้อม
  • ระยะนี้แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณและการกระจายยังมีน้อย ไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล เกษตรกรควรดูแลให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ควรหมั่นสังเกตเพราะอาจมีศัตรูพืชจำพวกหนอนซึ่งจะกัดกินและทำลายผล ทำให้ผลเสียหาย ผลผลิตด้อยคุณภาพ
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยงไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อ เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 12-14 พ.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

  • สัปดาห์นี้ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น บริเวณที่มีฝนตกหนัก เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตรในระยะต่อไป
  • สำหรับเกษตรกรที่เตรียมดินไว้สำหรับปลูกพืชในช่วงฤดูฝนนี้ควรยกร่องแปลงปลูกให้สูง และเตรียมทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่การเกษตรให้พร้อม
  • ระยะนี้แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณและการกระจายยังมีน้อย ไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล เกษตรกรควรดูแลให้น้ำอย่างเพียงพอ เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ควรหมั่นสังเกตเพราะอาจมีศัตรูพืชจำพวกหนอนซึ่งจะกัดกินและทำลายผล ทำให้ผลเสียหาย ผลผลิตด้อยคุณภาพ
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยงไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อ เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ