ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 02 พฤศจิกายน 2559 - 08 พฤศจิกายน 2559
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. มีอากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางด้านตะวันตกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- เกษตรกร สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงโดยมีอากาศเย็นในตอนเช้า สลับกับมีฝนตกในบางวัน เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย และเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับ กันหนาวเอาไว้ให้พร้อม
- สัตว์เลี้ยง สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผู้เลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนอย่าให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยของสัตว์ เช่น โรคคอบวมในโค-กระบือ และโรคหวัดในสัตว์ปีก
- ข้าวนาปี ช่วงวันที่ 5-8 พ.ย. จะมีฝนเพิ่มขึ้น เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว หากต้องการปลูกพืชรอบใหม่ควรเปลี่ยนไปปลูกพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อยแทนเพื่อตัดวงจรของโรคและแมลงศัตรูพืช
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 2-4 พ.ย. มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 5-8 พ.ย. มีอากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางด้านตอนบนและตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- เกษตรกร สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยมีอากาศเย็นในตอนเช้า สลับกับมีฝนตกในบางวัน เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย และเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับ กันหนาวเอาไว้ให้พร้อม
- สัตว์เลี้ยง สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผู้เลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนอย่าให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยของสัตว์ เช่น โรคคอบวมในโค-กระบือ และโรคหวัดในสัตว์ปีก
- ข้าวนาปี ช่วงวันที่ 5-8 พ.ย. จะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้วไปแล้ว หากต้องการปลูกพืชรอบใหม่ควรเปลี่ยนไปปลูกพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อยแทนเพื่อตัดวงจรของโรคและแมลงศัตรูพืช
ภาคกลาง ในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. มีอากาศเย็นกับมีหมอกบาง ในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- ข้าวนาปี ช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. จะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และหากต้องการที่จะปลูกข้าวรอบใหม่ควรอยู่ในเขตชลประทาน หากอยู่นอกเขตชลประทานควรเปลี่ยนไปปลูกพืชอายุสั้น และใช้น้ำน้อยแทน
- พืชผัก แม้ระยะนี้ปริมาณฝนจะลดลง แต่สภาพอากาศยังคงมีความชื้นสูงโดยเฉพาะในตอนเช้า เกษตรกรที่ปลูกผักควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราและศัตรูพืช เช่น โรคราน้ำค้าง และหนอนใยผัก เป็นต้น
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร พื้นที่ทางตอนบนของภาคเกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนตกน้อย สำหรับพื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
- ยางพารา ระยะนี้คงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่งชาวสวนควรดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมภายในสวน ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า และโรคหน้ากรีดยาง เป็นต้น
- ชาวเรือและชาว ประมง ช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. บริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-80 ของพื้นที่กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร ระยะนี้มีฝนตกต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
- ยางพารา ดินและอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู เป็นต้น โดยดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมภายในสวน
- ชาวเรือและชาว ประมง บริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
ในช่วงวันที่ 2-5 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร ระยะนี้มีฝนตกต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
- ยางพารา ดินและอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคเส้นดำ และโรคราสีชมพู เป็นต้น โดยดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นสะสมภายในสวน
หมายเหตุ สำหรับแผนที่แสดงสมดุลน้ำสามารถดาวโหลดได้ตามลิงค์นี้ http://www.arcims.tmd.go.th/dailydata/PET7day.php
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตรในวันที่ 2 - 8 พฤศจิกายน 2559
ปริมาณฝนสะสมเดือน พฤศจิกายน (1-2) ในระยะที่ผ่านมาทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกน้อย โดยปริมาณฝนตกสะสมสูงสุดประมาณ 50-100 มม. บริเวณที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนบริเวณอื่นมีปริมาณฝนสะสมอยู่ในช่วง 1-25 มม.
ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณภาคใต่ฝั่งตะวันออกและด้สนตะวันตกของภาคกลางและภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ทำให้มีปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ 100-300 มม. โดยมีปริมาณฝนสะสมสู งสุดบริเวณจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ส่วนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือปริมาณฝนเริ่มลดลงโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เช่น หนองคาย อุดรธานี และสกลนคร มีรายงายฝนตกสะสมต่ำกว่า 5 มม.
ศักย์การคายระเหยน้ำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมตั้งแต่ 20-25 มม. เว้นแต่บริเวรภาคเหนือและภาคตัวันออกเฉียงเหนือมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 25-35 มม.
สมดุลน้ำ บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกและด้านตะวันตกของภาคกลางและภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ทำให้สมดุลน้ำสะสมตั้งแต่ 100-300 มม. โดยปริมาณสูงสุดบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือปริมาณฝนเริ่มลดลงโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เช่น หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และอำนาจเจริญ มีค่าสมดุลน้ำสะสมตั้งแต่ (-10)(-30) มม.
คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือปริมาณฝนเริ่มลดลงโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เช่น หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม มุกดาหารมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และอำนาจเจริญ ปริมาณฝนสะสมน้อยกว่าค่าปริมาณน้ำที่สูญเสียโดยการคายน้ำของพืชและน้ำระเหย และในช่วง7 วันข้างหน้ายังคงมีฝนตกน้อยซึ่งจะเป็นผลดีกับข้าวที่อยู่ในระยะเก็บเกี่ยว แต่สำหรับเกษตรกรที่ปลูกพืช เช่น พืชไร่และผักชนิดต่างๆควรดูแลให้น้ำแก่พืชเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโตและจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตในระยะต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74