พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 09 มกราคม 2560 - 15 มกราคม 2560

ข่าวทั่วไป Monday January 9, 2017 14:48 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 09 มกราคม 2560 - 15 มกราคม 2560

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 9-13 ม.ค. อากาศเย็น โดยมีฝนร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14-15 ม.ค. อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • ผลผลิตทางการเกษตรในช่วงวันที่ 9-13 ม.ค.จะมีฝนร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายจากฝนที่จะตกในระยะนี้ โดยหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้ง เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายได้
  • พืชไร่และผักชนิดต่างๆระยะนี้จะมีฝนตก ทำให้ความชื้นในอากาศเพิ่มสูงขึ้น เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง ซึ่งจะทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตเสียหายได้
  • สัตว์เลี้ยงในช่วงวันที่ 14-15 ม.ค. อุณหภูมิจะลด 2-3 องศาเซลเซียส ทำให้มีสภาพอากาศเย็นและชื้น ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรระวังการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคหวัดในสัตว์ปีก และโรคคอบวมในโคและกระบือ เกษตรกรควรหมั่นสำรวจหากพบสัตว์เจ็บป่วยควรแยกออกจากกลุ่มและรีบทำการรักษา

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. อากาศเย็น โดยมีฝนร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในวันที่ 13-15 ม.ค. อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 8-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

  • พื้นที่การเกษตรระยะนี้แม้จะมีฝนตกแต่ปริมาณน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช ประกอบกับสภาพอากาศแห้ง ทำให้น้ำระเหยไปจากดินและพืชได้มาก ดังนั้นเกษตรกรควรดูแลพืชที่ปลูก โดยควรให้น้ำเพิ่มเติมและคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำ รักษาความชื้นในดินและช่วยให้อุณหภูมิดินไม่ให้เปลี่ยนแปลงมาก รวมทั้งระวังศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้พืชทรุดโทรม เช่น เพลี้ยแป้งและไรแดงในมันสำปะหลัง
  • สัตว์เลี้ยงในช่วงวันที่ 13-15 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์ปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย โดยเฉพาะสัตว์เล็ก

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. อากาศเย็น โดยมีฝนร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 13-15 ม.ค. อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.

  • พื้นที่การเกษตรในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค.จะมีฝนร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับผลผลิตทางการเกษตรเนื่องจากฝนที่จะตกในระยะนี้ด้วย ส่วนผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวแล้วควรหลีกเลี่ยงการตากไว้กลางแจ้งในช่วงดังกล่าว เพราะจะเสียหายเนื่องจากฝนที่ตกได้
  • สัตว์เลี้ยงในช่วงวันที่ 13-15 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์ปรับตัวไม่ทันโดยเฉพาะสัตว์เล็กจะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 9-13 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14-15 ม.ค. 60 อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตรระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมีมาก ประกอบกับปริมาณฝนที่ตกมีน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ เพราะหากได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • ไม้ผลระยะนี้แม้จะมีฝนแต่ปริมาณน้อย ประกอบกับมีน้ำระเหยมาก สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอกและติดผลอ่อนแล้ว ชาวสวนควรดูแลให้น้ำโดยควรให้ในปริมาณน้อยๆก่อนและค่อยๆเพิ่มขึ้น รวมทั้งระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ผลอ่อนร่วงหล่น

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 9-10 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนมากทางตอนบนของภาค ลมตะวันออก ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 11-15 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-32 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตรสำหรับบริเวณภาคใต้ตอนบน จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้น
  • ไม้ผลสวนผลไม้ทางภาคใต้ตอนล่างที่ถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากปริมาณน้ำเริ่มลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูก ไม่ควรปล่อยให้น้ำขังในบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศ ต้นพืชตายได้
  • ประมงชายฝั่งในช่วงวันที่ 9-10 ม.ค. บริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันจะมีคลื่นลมแรงโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 9-10 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนมากทางตอนบนของภาค ลมตะวันตก ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 11-15 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตรสำหรับบริเวณภาคใต้ตอนบน จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้น
  • ไม้ผลสวนผลไม้ทางภาคใต้ตอนล่างที่ถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากปริมาณน้ำเริ่มลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูก ไม่ควรปล่อยให้น้ำขังในบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศ ต้นพืชตายได้
  • ประมงชายฝั่งในช่วงวันที่ 9-10 ม.ค. บริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามันจะมีคลื่นลมแรงโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ