พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 9 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ข่าวทั่วไป Friday February 9, 2018 13:42 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ออกประกาศวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 18/61

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้ากับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง ส่วนในช่วงวันที่ 12-15ก.พ. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง โดยจะเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

คำเตือน ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. ขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วยส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. ขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. มีหมอกในตอนเช้ากับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียสโดยยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-22 องศา เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมใต้ความเร็ว 10-25 กม./ชม. บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-9 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว และอุณหภูมิจะลดลง1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 12-20 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 1-7 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ระยะนี้จะมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ เกษตรกรควรระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา และควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะจะทำให้ผลผลิตเปียกชื้นเสียหายได้
  • สำหรับสภาพอากาศเย็นและชื้นเนื่องจากหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง ในพืชไร่และพืชผัก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. มีหมอกในตอนเช้ากับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียสโดยยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลม แรง และอุณภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด12-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-29 องศาเซลเซียสบริเวณยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนเพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย รวมทั้งทำแผงกำบังลมหนาวเพื่อป้องกันลมโกรกเข้าโรงเรือนทำให้สัตว์หนาวเย็นและเป็นโรคได้ง่าย
  • เนื่องจากมีน้ำระเหยมากในระยะนี้ เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืช และโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบไม้ และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน
  • สำหรับพื้นที่ที่มีอากาศแห้งและลมแรง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูกอาคารบ้านเรือน และโรงเก็บพืชผลทางด้านการเกษตรโดยเฉพาะบริเวณสวนยางพารา

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 19-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 27-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้าและมีฝนเล็กน้อยในบางพื้นที่ เกษตรกรควรระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา และควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตไว้กลางแจ้ง เพราะจะทำให้เปียกชื้นเสียหายได้
  • สำหรับอากาศเย็นและชื้น กับมีหมอกในตอนเช้าเหมาะกับการเกิดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคราน้ำค้างในองุ่น โรคใบไหม้ในพืชตระกูลหอม เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบควรรีบควบคุม
  • ในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหารให้น้อยลงเพื่อป้องกันอาหารเหลือ ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสียส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส และมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในช่วงวันที่ 10-11 ก.พ. อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 26-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • สำหรับอากาศเย็นและชื้น กับมีหมอกในตอนเช้าเหมาะกับการเกิดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราดำในมะม่วงและมะยงชิด เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงปลูกหากพบควรรีบควบคุมโดยพ่นน้ำล้างคราบราสีดำเพื่อลดปริมาณเชื้อรา นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำ ให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ
  • เนื่องจากระยะนี้เป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด และวางแผนการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ10-20 ของพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา : ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป:ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป:ลมตะวันออกเฉียง เหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรอุณหภูมิต่ำสุด 19-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 %

ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออกความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1- 2 เมตรบริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ระยะนี้แม้จะมีฝนตกแต่มีปริมาณน้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมตามความเหมาะสม รวมทั้งคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยชนิดต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
  • สำหรับฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 12 – 15 ก.พ. เกษตรควรกักเก็บน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตร รวมทั้งวางแผนการใช้น้ำที่กักเก็บไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนแล้ง
  • ในช่วงวันที่ 12-15 ก.พ. คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในช่วงวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561

ปริมาณฝนสะสมเดือนกุมภาพันธ์ (ในวันที่ 1-8 กุมภาพันธ์ 2561) บริเวณประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 10 มม.เว้นแต่บริเวณจังหวัดระยอง และภาคใต้ตอนบนของทั้งสองฝั่งที่มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 10 มม. โดยบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดระนอง มีปริมาณฝนสะสม 50 – 100 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 25 มม. เว้นแต่ภาคใต้ตอนบนมีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 25 มม. โดยบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดระนอง มีปริมาณฝนสะสมมากว่าบริเวณอื่น ซึ่งมีค่า 50-100 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 15-30 มม. เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่ภาคใต้ตอนล่างมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 30-35 มม.

สมดุลน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยมีค่าสมดุลน้ำสะสมเป็นลบ โดยมีค่า (-1)-(-40) มม. เว้นแต่ภาคใต้ตอนบนมีค่าสมดุลน้ำสะสมเป็นบวกซึ่งมีค่า 1-70 มม. ส่วนภาคใต้ตอนล่างมีค่าสมดุลน้ำสะสมเป็นลบ (-30)-(-40) มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น และภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ สำหรับในช่วง 7 วันข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลง สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงวันที่12 – 15 ก.พ. เกษตรควรกักเก็บน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตร รวมทั้งวางแผนการใช้น้ำที่กักเก็บไว้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนแล้ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ