บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” และคง
อันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ “A”
และ “A-” ตามลำดับ พร้อมแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
จากผลของการที่ธนาคารซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่
และกระจายตัวมากกว่า รวมถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ในธุรกิจหลักคือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตลอดจนการมี
เครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวางขึ้น และการมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมต่อการสร้างความแข็งแกร่งในการผสานธุรกิจในกลุ่มธนชา
ต นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ Bank of Nova
Scotia (BNS) จากประเทศแคนาดาซึ่งถือหุ้นธนาคารในสัดส่วน 48.99% อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวมีข้อจำกัดจาก
สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่สูงขึ้นของธนาคาร ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง
ธนาคารธนชาตและธนาคารนครหลวงไทย และภาวะการแข่งขันของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ความไม่แน่
นอนของการเมืองภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลกอาจเป็นปัจจัยจำกัดแผนการขยายธุรกิจและความสามารถในการทำกำไร
ของกลุ่มธนชาตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ในขณะที่อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารธนชาต (TBANK197A
และ TBANK247A) นั้นสะท้อนถึงความด้อยสิทธิและความเสี่ยงต่อการเลื่อนชำระดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวซึ่งจะครบกำหนดไถ่
ถอนในปี 2562 และ 2567 โดยหุ้นกู้ดังกล่าวยังสะสมผลตอบแทน มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และธนาคารสามารถไถ่ถอน
คืนทั้งจำนวนก่อนครบกำหนดได้หลังจาก 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสาร และอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้
ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้จะได้รับการชำระเงินในลำดับถัดจากผู้ฝากเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน และผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคาร
โดยธนาคารไม่ต้องมีภาระผูกพันในการจ่ายหนี้ใดใดสำหรับหุ้นกู้ประเภทนี้ในกรณีที่ธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนในระยะเวลา
6 เดือนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารต้องจ่ายชำระดอกเบี้ย และธนาคารไม่สามารถจ่ายเงินปันผลในช่วงดังกล่าวหรือในช่วง 6
เดือนข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายคืนจะเป็นจำนวนยอดสะสม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนบทบาทของธนาคารธนชาตในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการ
เงินและการธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญของกลุ่มธนชาต โดยคาดหมายว่าฐานะทางการตลาดในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารภาย
ใต้การควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและธนาคารนครหลวงไทยจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์มิให้
เสื่อมถอยลงได้ รวมถึงสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ นอกจากนี้ ยังคาด
หมายว่าความสามารถในการเพิ่มรายได้ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมถึงการประหยัดต้นทุนที่เกิดจากการผสาน
ประโยชน์ภายในกลุ่มธนชาตจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารที่อาจสูงขึ้นในช่วงระหว่างการควบรวม
กิจการของธนาคารทั้ง 2 แห่ง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารธนชาตซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทยตามแผนกลยุทธ์การเติบโตโดยวิธีการซื้อหุ้น
จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยรายอื่น ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 รวม
ทั้งสิ้น 99.24% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ทั้งนี้ ธนาคารกลายเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของ
ประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 (จากเดิมอันดับที่ 8 เมื่อปี 2551) ด้วยส่วนแบ่งตลาดสำหรับสินเชื่อรวมที่ 9.3% และ
สำหรับเงินฝากที่ 7.9% ตามงบการเงินรวม ณ สิ้นงวดกันยายน 2553 ธนาคารธนชาตมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 836 พันล้านบาท
เพิ่มขึ้น 93.1% จาก 433 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2552 การซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทยทำให้ธนาคารธนชาตมีสถานะทาง
การแข่งขันในสินเชื่อภาคธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการกระจายสินเชื่อไปสู่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งทำให้สัดส่วนของสินเชื่อใน
กลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของธนาคารดียิ่งขึ้นและลดการกระจุกตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ธนาคารธนชาตมีเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น 582,234 ล้านบาท เติบโตขึ้น 104.2% จาก
285,100 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2552 ธนาคารเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดที่
27% ด้วยมูลค่าสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 228,268 ล้านบาท (รวมของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย) ณ
สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ธนาคารมีสินเชื่อธุรกิจคิดเป็น 43% ของสินเชื่อรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 21% ในปี 2552 ในขณะที่สิน
เชื่อรายย่อยอยู่ที่ 57% ของสินเชื่อรวม ลดลงจาก 79% เมื่อสิ้นปี 2552 สินเชื่อส่วนใหญ่ของธนาคารประกอบด้วยสินเชื่อราย
ย่อย โดยเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 39% สินเชื่อที่อยู่อาศัย 13% และสินเชื่อธุรกิจซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อกลุ่มการผลิตและการค้า
14% และสินเชื่อกลุ่มสาธารณูปโภคและบริการ 11%
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงหนี้สินของธนาคารธนชาตว่า ธนาคารได้ประโยชน์จากการเพิ่มฐานลูกค้าเงินฝากขนาดใหญ่และเครือ
ข่ายสาขาจำนวนมากของธนาคารนครหลวงไทยซึ่งช่วยสนับสนุนให้ธนาคารสามารถขยายขอบเขตการให้บริการทางการเงินของ
กลุ่มธนชาตทั้งหมดผ่านช่องทางและเครือข่ายต่าง ๆ ในกลุ่มธนชาต นอกจากนี้ ยังคาดว่าการซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย
จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจของธนาคารธนชาตได้ในระยะปานกลางถึงระยะยาว อย่างไรก็
ตาม ความสำเร็จดังกล่าวยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ฐานะการเงินของธนาคารธนชาตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิในปี
2552 จำนวน 4,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117% จาก 1,870 ล้านบาทในปี 2551 ธนาคารมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 โดยมีกำไรสุทธิ 6,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.7% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่จำนวน 2,510 ล้านบาทเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย อัตราส่วนผลตอบแทนต่อ
สินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสำหรับปี 2552 เท่ากับ 1% และ 16.48% ตามลำดับ
เพิ่มขึ้นจาก 0.55% และ 8.83% ในปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 โดยอยู่ที่
1.06% และ 13.64% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 0.66% และ 10.62% สำหรับช่วง
เดียวกันของปีก่อน
ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารธนชาตภายหลังการซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทยนั้น ธนาคารมีข้อ จำกัดจากการมี NPL และสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจของธนาคารนครหลวงไทย โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ธนาคารมีอัตราส่วน NPL ต่อเงินให้สินเชื่อรวม 6.39% เพิ่มขึ้นจาก 3.04% ในปี 2552 และ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งที่มีอัตราส่วนอยู่ที่ 5.64% นอกจากนี้ ยังมี NPA ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (หนี้จัดชั้น ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน + ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ + สินทรัพย์รอการขาย) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 คิด เป็น 0.62 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคาร โดยเพิ่มขึ้นจาก 0.31 เท่า ณ สิ้นปี 2552 แต่ยังใกล้ เคียงกับค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งที่ระดับ 0.65 เท่า ดังนั้น ความสามารถของผู้บริหารในการดูแลสินทรัพย์ไม่ให้ มีคุณภาพเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการควบรวมกิจการจึงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป
ภายหลังการซื้อกิจการ ทริสเรทติ้งเห็นว่าธนาคารธนชาตมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น โดยมีฐานเงินฝากที่ขยายตัวไปยังฐาน ลูกค้ารายย่อยเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 8.45% จาก 6.44% ในปี 2552 จากผลของการเพิ่มทุนจำนวน 35,790 ล้านบาทในเดือนเมษายน 2553 จากผู้ถือหุ้นหลักคือ บริษัททุนธนชาตและ BNS อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งซึ่งอยู่ที่ 10.06% อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 เท่ากับ 14.69% เพิ่มขึ้นจาก 14.10% ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงเล็กน้อยอันเป็นผลจากการนำค่าความนิยมจากการซื้อกิจการมาหักออกจาก เงินกองทุนชั้นที่ 1 เมื่อการโอนกิจการของธนาคารนครหลวงไทยเข้ากับธนาคารธนชาตแล้วเสร็จในช่วงประมาณปลายปี 2554
ปัจจุบันธนาคารธนชาตอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนการควบรวมกิจการและการถอนหุ้นธนาคารนครหลวง ไทยออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยสมัครใจ ธนาคารนครหลวงไทยจะยังคงดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ต่อไปจน กระทั่งกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ และจะต้องคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์แก่ธนาคารแห่งประเทศ ไทยภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ทั้งนี้ อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของธนาคารจะยังคงได้รับผลกระทบจากความ ท้าทายในเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินกองทุนและผลประกอบการของธนาคาร ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ