ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A+” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เป็นทุนสำหรับการดำเนินงานและการลงทุนในอนาคต โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศในเส้นทางการบินของประเทศไทยและประโยชน์จากการเป็นสมาชิก Star Alliance ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรสายการบินที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูง ตลอดจนความเสี่ยงจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวน ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่กระทบต่อธุรกิจสายการบิน เช่น โรคระบาด ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากสายการบินทั่วไปและสายการบินต้นทุนต่ำที่จะกดดันอัตรารายได้ต่อผู้โดยสาร-กิโลเมตรอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทการบินไทยจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจการบินระหว่างประเทศของไทยเอาไว้ได้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต่อไปโดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ โดยที่ปัจจุบันสัดส่วนภาระหนี้สินที่มีทรัพย์สินค้ำประกันอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับมาตรฐานของอันดับเครดิตปัจจุบัน ดังนั้นอันดับเครดิตตราสารหนี้อาจถูกลดอันดับลงจนกว่าบริษัทจะมีแผนที่ชัดเจนในการลดจำนวนหนี้สินที่มีทรัพย์สินค้ำประกัน หรือปรับปรุงจำนวนทรัพย์สินที่ปลอดภาระค้ำประกันต่อภาระหนี้ที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน
อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทซึ่งสะท้อนถึงการสนับสนุนจากภาครัฐในฐานะที่บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจและสายการบินแห่งชาติ ดังนั้น อันดับเครดิตจะได้รับการปรับลดลงหากรัฐบาลลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือต่ำกว่า 50% ปัจจุบันกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 51% นอกจากนี้ ยังมีธนาคารออมสินซึ่งเป็นธนาคารของรัฐบาลไทยเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 2.1% ด้วย ในขณะที่หุ้นของบริษัทในสัดส่วน 15.5% ที่ถือโดยกองทุนวายุภักษ์นั้นจัดเป็นการถือหุ้นโดยผู้ลงทุนภาคเอกชนแม้กองทุนวายุภักษ์จะได้รับการจัดตั้งโดยกระทรวงการคลังเพื่อลงทุนในรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20% เป็น 12.74 ล้านคนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารของบริษัทลดลง 1.5% เป็น 75.2% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 เนื่องจากปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 8.3% สู่ระดับ 41,957 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ในด้านการขาย ปริมาณการขนส่งผู้โดยสารของบริษัทเพิ่มขึ้น 6.2% สู่ระดับ 31,534 ล้านคน-กิโลเมตร อัตราส่วนการขนส่งพัสดุภัณฑ์ก็ลดลงจากระดับ 54.9% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 เป็น 51.3% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ราคาน้ำมันเครื่องบินลดลงเล็กน้อยและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกสองประการ แต่ผลประกอบการของบริษัทกลับอ่อนตัวลง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเช่นค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายขายและการตลาดเพิ่มสูงกว่าประโยชน์ที่ได้จากค่าใช้จ่ายน้ำมันที่ลดลงและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงยังคงมีผลจำกัดการปรับเพิ่มราคาค่าโดยสารและค่าชดเชยน้ำมัน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทลดลงจาก 13.5% ในปี 2555 เป็น 12.3% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ปรับตัวลดลง 4.3 เท่าในปี 2555 เป็น 3.3 เท่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 6.1% (ยังไม่ได้ปรับตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 70.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 เป็น 74.7% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 เนื่องจากบริษัทกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการซื้อเครื่องบิน โดยในปี 2556 บริษัทจะรับเครื่องบินจำนวน 13 ลำ ทั้งนี้ เครื่องบินจำนวน 8 ลำจะเป็นการเช่าดำเนินงาน อีก 3 ลำจะเป็นการเช่าทางการเงิน ส่วน 2 ลำจะเป็นการซื้อโดยที่ได้รับเงินกู้จากกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ คาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นต่อไปในระยะปานกลางเนื่องจากบริษัทมีแผนทางการเงินในการจัดหาเครื่องบินใหม่ในช่วงระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ในระยะยาว เครื่องบินใหม่จะมีประโยชน์หลายด้านไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพการบินที่เพิ่มขึ้น หรือปริมาณการใช้น้ำมันที่ต่ำลง และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่ลดลง