ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “LVMC Holdings” เป็น “BB” จาก “BB+” แนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 7, 2020 17:03 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ LVMC Holdings (LVMC) ซึ่งมีชื่อเดิมว่า Kolao Holdings (KOLAO) เป็นระดับ “BB” จากระดับ “BB+” โดยการลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทที่ “Negative” หรือ “ลบ” เพื่อสะท้อนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่แน่นอน รวมถึงความเป็นไปได้ที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงต่ำกว่าคาดหมาย การเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการที่บริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่ระบุไว้ในหุ้นกู้มีการค้ำประกันมูลค่า 25.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งออกโดยบริษัทย่อยของบริษัทคือ LVMC Holdings Singapore Pte. Ltd. (LVMCS) ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันแบบร่วมกันและแทนกันโดยบริษัทและ Kolao Developing Co., Ltd. (KDC)

อันดับเครดิต “BB” สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยลงของบริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ตลอดจนความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมรถยนต์อีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การฟื้นตัวอ่อนแอกว่าที่คาด

บริษัทใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฟื้นฟูผลการดำเนินงานหลังจากสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดหลัก โดยบริษัทได้ขยายไปยังตลาดอื่น ๆ เพื่อชดเชยการลดลงของรายได้และกำไรใน สปป. ลาว นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับรถยนต์ในรุ่นที่ทำกำไรมากขึ้นและลดต้นทุนเพื่อให้ความสามารถในการทำกำไรฟื้นกลับมาอีกครั้งด้วย

ทริสเรสติ้งเคยคาดหมายไว้ว่าระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลกำไรของบริษัทหลังจากการขยายไปในตลาดต่างประเทศจะเริ่มตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งแม้กำไรจะปรับตัวดีขึ้น แต่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายและอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทก็ยังคงต่ำกว่าที่คาดไว้

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ไม่น่าจะถึงระดับที่เคยคาดการณ์ไว้ การแข่งขันที่รุนแรงและสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่แน่นอนในตลาดที่บริษัทดำเนินงานอาจขัดขวางการฟื้นตัว นอกจากนี้ การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานยังน่าจะใช้เวลามากขึ้นจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ที่ปัจจุบันกำลังส่งผลทำให้ความต้องการรถยนต์ลดต่ำลง รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากตลาดอื่น ๆ น่าจะช่วยลดผลกระทบต่อรายได้และสร้างการเติบโตในระยะปานกลางถึงระยะยาวได้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในปี 2563 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายน่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน 3 ปีข้างหน้าโดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ที่ประมาณ 5% ทั้งนี้ในอดีต กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ในช่วง 40-60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ทรงตัวเหนือระดับ 10%

ความสามารถในการแข่งขันอ่อนแอลงในตลาดหลัก

ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดรถยนต์ใน สปป. ลาว ไม่แข็งแกร่งเท่าแต่ก่อน โดยรายได้จาก สปป.ลาว คิดเป็นสัดส่วนหลักเกือบ 70% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2562 ทั้งนี้ สินค้าของบริษัทกำลังสูญเสียความนิยมไปไม่ใช่เพียงเพราะการสูญเสียจุดแข็งในด้านราคาเท่านั้น แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมของลูกค้าอีกด้วย โดยยอดขายของบริษัทในตลาดหลักดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ประกอบในกลุ่มประเทศสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ลดลงเหลือ 0% ในช่วงปลายปี 2558

ภาษีนำเข้าที่ลดลงเหลือ 0% นั้นทำให้การแข่งขันของอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้ผลิตรถยนต์ที่มีฐานการผลิตในอาเซียน อาทิ โตโยต้า ที่เป็นคู่แข่งสำคัญของบริษัทนั้นเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งราคารถซีดานญี่ปุ่นนำเข้าลดลงจากเดิมมาก ทำให้ในปี 2560 บริษัทได้เปิดสายการประกอบรถยนต์ “ฮุนได” และ “เกีย” แบบกึ่งสำเร็จรูป (Semi Knocked Down - SKD) ใน สปป. ลาว การประกอบรถแทนการนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ช่วยลดต้นทุนให้แก่บริษัทลงเกือบ 30% จากการได้รับประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ผลิต แต่แม้ราคาจะปรับลดลง ยอดขายของบริษัทใน สปป.ลาว ก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

พฤติกรรมของลูกค้าใน สปป. ลาว เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยประชาชนลาวเริ่มคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าเงินผ่อนมากขึ้นหลังจากที่ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ขยายบริการธุรกิจเช่าซื้อ ประชาชนชาวลาวเต็มใจที่จะจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์อย่างโตโยต้านั้นดูจะได้ประโยชน์ บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนโดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นที่ใหม่กว่า การแข่งขันยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากโตโยต้ากำลังรุกตลาดดังกล่าว

การขยายธุรกิจไปในต่างประเทศนำมาซึ่งความเสี่ยงและการเติบโต

การขยายธุรกิจไปในตลาดอื่น ๆ เช่น เวียดนาม เมียนม่า กัมพูชา และปากีสถานทำให้ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ ทั้งนี้ กฎระเบียบที่ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนานั้นก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในการดำเนินงานที่อาจให้คุณหรือโทษแก่ผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีนำเข้าแบบใหม่ใน สปป. ลาว ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบในด้านลบต่อผู้ประกอบการเดิมเช่นบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังต้องสู้กับผู้ผลิตรายใหญ่จำนวนมากที่มีอยู่แล้วในประเทศอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นในประเทศเวียดนามที่บริษัทต้องแข่งขันกับ Truong Hai Auto Corporation (THACO) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดที่ประมาณ 1 ใน 4 ของตลาดรถยนต์ในประเทศเวียดนาม โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดนี้ยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่เข้มข้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 บริษัทได้ขายหุ้น 15% ใน Daehan Motors ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินงานในประเทศเวียดนาม ซึ่งทำให้ Daehan Motors กลายเป็นบริษัทร่วมของบริษัท

บริษัทยังจะต้องเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศนั้นเพิ่มความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเนื่องจากบริษัทตั้งราคาขายรถยนต์เป็นสกุลเงินท้องถิ่นแต่บริษัทนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การเคลื่อนไหวของค่าเงินจึงอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานได้หากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการความแตกต่างของค่าเงินในสกุลที่ต่างกันให้เหมาะสม

เมื่อมองในด้านบวก รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากตลาดใหม่ ๆ น่าจะช่วยฟื้นฟูผลการดำเนินงานของบริษัทได้ โดยทริสเรทติ้งคาดว่าตลาดในประเทศเมียนมาและกัมพูชาจะช่วยให้บริษัทเติบโต ในประเทศเมียนมา สายการประกอบรถยนต์ฮุนไดแบบกึ่งสำเร็จรูปได้เริ่มการผลิตแล้วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 การเริ่มของสายการประกอบดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ให้แก่ประชาชนในเมืองย่างกุ้งได้ เนื่องจากเฉพาะรถยนต์ที่ประกอบในประเทศเท่านั้นที่สามารถจดทะเบียนในเมืองย่างกุ้ง ส่วนในประเทศกัมพูชา บริษัทรับรู้รายได้จากการจำหน่ายรถยนต์ใหม่นำเข้าและรถยนต์มือสองนำเข้ามาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562 อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการขยายไปสู่ตลาดใหม่ ๆ เหล่านี้ยังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล

สภาพคล่องตึงตัวแต่น่าจะจัดการได้

บริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัวจากการมีหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวนมากในปีนี้ โดยในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี 2563 บริษัทมีภาระหนี้ประมาณ 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จะครบกำหนดชำระ ณ เดือนเมษายน 2563 บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกับวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกถอนรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปี 2563 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทยังจะได้รับชำระคืนเงินกู้อีกจำนวน 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัทร่วมรายหนึ่งด้วย ทำให้บริษัทน่าจะมีแหล่งเงินสดรวมกันทั้งสิ้นจำนวน 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ลูกหนี้ระยะสั้นจากการจำหน่ายรถยนต์เงินผ่อนซึ่งมีมูลค่าอยู่เกือบ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นก็สามารถใช้เป็นแหล่งเงินสดได้อีกทางหนึ่งเพื่อรองรับเงินที่ขาดอยู่อีกจำนวนประมาณ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

บริษัทกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้สนับสนุนสภาพคล่องและการขยายธุรกิจซึ่งรวมถึงโรงงานประกอบรถยนต์ฮุนไดแบบกึ่งสำเร็จรูปแห่งใหม่ในประเทศเมียนมา งบลงทุนรวมในช่วง 3 ปีข้างหน้าน่าจะต่ำกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินจากการเพิ่มทุนหลังการลงทุนดังกล่าวจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัทและระดับการก่อหนี้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งที่บริษัทจะมีเงินจากการเพิ่มทุนใหม่ประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะลดลงมาอยู่ที่ 4.5-7.5 เท่าในช่วงปี 2563-2565 จาก 8.5 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินนั้นก็น่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 13% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

บริษัทไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้มีการค้ำประกันมูลค่า 25.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งออกโดย LVMCS ได้ หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันแบบร่วมกันและแทนกันโดยบริษัทและ KDC ทั้งนี้ ข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ดังกล่าวระบุให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 1 เท่า ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.08 เท่า ณ เดือนธันวาคม 2562 และ 1.13 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2563 ในการนี้ บริษัทได้ส่งจดหมายแจ้งต่อผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เกี่ยวกับการผิดเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว

สมมติฐานพื้นฐาน

• รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในปี 2563 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565

• อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นเป็นประมาณ 5% ในอีก 3 ปีข้างหน้า

• เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ 5-15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าการแข่งขันที่รุนแรงและสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่แน่นอนในตลาดที่บริษัทดำเนินงานจะยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่แนวโน้มการฟื้นตัวก็ยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ บริษัทยังไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินของหุ้นกู้มีการค้ำประกันมูลค่า 25.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งออกโดยบริษัทย่อยคือ LVMCS ได้อีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะใกล้แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศของบริษัทประสบความสำเร็จตามที่บริษัทวางแผนไว้และช่วยฟื้นฟูผลการดำเนินงาน และหากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงเหลือไม่เกิน 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญก็อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตได้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

LVMC Holdings (LVMC)

อันดับเครดิตองค์กร: BB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ