ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. เนาวรัตน์พัฒนาการ” ที่ “BB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 25, 2021 18:57 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่หลากหลายของบริษัททั้งในภาครัฐและภาคเอกชน มูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณารวมไปถึงมุมมองในเชิงบวกสำหรับภาพรวมของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วงระยะใกล้ถึงปานกลางอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวก็ถูกลดทอนลงจากอัตรากำไรที่อ่อนแอของบริษัท และการมีกระแสเงินสดระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาระหนี้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลงานและความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย

บริษัทจัดอยู่ใน 6 อันดับแรกของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแง่ของรายได้ต่อปีและขนาดของสินทรัพย์ บริษัทให้บริการงานก่อสร้างหลากหลายประเภท เช่น งานก่อสร้างอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม งานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ท่าเรือ ระบบชลประทาน อุโมงค์ และงานดันท่อลอด เป็นต้น อีกทั้งบริษัทมีโรงงานผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นคอนกรีตอัดแรงสำหรับงานก่อสร้างต่าง ๆ และงานโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย

บริษัทสามารถดำเนินโครงการงานก่อสร้างได้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยบริษัทจะเน้นงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากงานภาครัฐประมาณ 70% ของรายได้ในแต่ละปี และส่วนที่เหลือมาจากงานในภาคเอกชน

Backlog สูงสุดในประวัติการณ์

อันดับเครดิตได้พิจารณารวมถึงมูลค่า Backlog จำนวนมากของบริษัท ที่จะช่วยรักษาระดับรายได้ในช่วง 2 ปีข้างหน้าไว้ได้ หลังจากที่บริษัทมี Backlog จำนวนน้อยมากในปี 2560 บริษัทสามารถเซ็นสัญญางานใหม่มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2561 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ซึ่งบริษัทยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้รับงานใหม่จากโครงการในอนาคตทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับเหมาหลักหรือผู้รับเหมาช่วง

ณ เดือนกันยายน 2563 มูลค่า Backlog ของบริษัทอยู่ที่ 2.16 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดของบริษัท โดยโครงการใน Backlog คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 1.7 พันล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2563 ประมาณ 8.7 พันล้านบาทในปี 2564 ประมาณ 6.1 พันล้านบาทในปี 2565 และส่วนที่เหลือในปี 2566 การที่บริษัทมี Backlog จำนวนมากจะช่วยสร้างรายได้ให้ถึงเป้าหมายได้

โรคระบาดส่งผลกระทบต่องานก่อสร้าง

การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) เป็นอุปสรรคต่องานก่อสร้างอย่างมาก ซึ่งบริษัทรับเหมาก่อสร้างต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ปัญหาการขนส่งสินค้าและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงการทำงานที่ช้ากว่าแผนในช่วงที่มีการปิดเมืองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าโรคโควิด 19 ส่งผลให้งานก่อสร้างภาคเอกชนหดตัวมากกว่าภาครัฐ ซึ่งการแพร่ระบาดส่งผลให้สภาพตลาดซบเซา กำลังซื้อของภาคการบริโภคอ่อนแอ และต้องชะลอการเปิดโครงการใหม่ ๆ ซึ่งแนวโน้มของงานก่อสร้างภาคเอกชนจะยังคงชะลอตัวตามการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการก่อสร้างภาคเอกชน โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยนั้นอยู่ในช่วงซบเซามาตั้งแต่ปลายปี 2562 อีกทั้งเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ซ้ำเติมอีกด้วย

โอกาสในงานก่อสร้างจากภาครัฐ

ในขณะที่งานก่อสร้างในภาคเอกชนหดตัว แต่บริษัทก็มีความหวังในงานก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ ในภาครัฐในระยะใกล้ถึงระยะกลาง โดยในปี 2563 ภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างภายในประเทศเติบโตที่ระดับ 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการก่อสร้างภาครัฐเพิ่มขึ้น 5.7% ในขณะที่ภาคเอกชนนั้นหดตัวไป 2.2% ทริสเรทติ้งมองว่างบลงทุนในภาครัฐและการใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ จะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่เสียหายจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกทั้งการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวยังคงเปราะบาง ดังนั้น รายได้ของบริษัทจะยังคงเติบโตได้จากการที่บริษัทเน้นรับงานโครงการใหม่ ๆ จากภาครัฐ

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกสำหรับภาพรวมของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อพิจารณาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ซึ่งภาครัฐเองก็จำเป็นต้องเร่งการลงทุนและการใช้จ่ายเพื่อช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของธุรกิจยังประกอบไปด้วยการแข่งขันที่รุนแรงและความล่าช้าในการประมูลโครงการของภาครัฐ ในขณะที่หากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังคงมากขึ้นก็จะส่งผลให้การฟื้นตัวล่าช้าออกไป

อัตรากำไรยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง

อัตรากำไรที่อ่อนแอของบริษัทเป็นปัจจัยหลักที่ลดทอนอันดับเครดิต โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทค่อนข้างต่ำกว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งสาเหตุมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในการประมูลงานใหม่ จำนวนงานใหม่ของภาครัฐที่มีไม่มาก ในขณะเดียวกันบริษัทก็จำเป็นต้องได้งานเพื่อมาชดเชยงานใน Backlog ที่หมดไป ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังคงได้อัตรากำไรที่ต่ำในโครงการที่มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานและโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าซึ่งบริษัทรับงานต่อมาจากผู้รับเหมาหลักรายอื่น อีกทั้ง บริษัทยังประสบปัญหางานล่าช้ากว่าแผนและขาดทุนจากต้นทุนเกินกว่างบประมาณในบางโครงการอีกด้วย และบริษัทยังไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงเพื่อมาชดเชยกับอัตรากำไรที่ต่ำได้

จากมูลค่า Backlog ในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะอยู่ที่ 5%-6% ในช่วงปี 2563-2565 ลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ 6%-7% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และประมาณการรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทจะอยู่ในช่วง 7 พันล้านบาทถึง 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ในขณะเดียวกัน ยังคาดว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงถูกกดดันจากสภาพตลาดที่ซบเซา โดยคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 400-500 ล้านบาทต่อปี และรายได้จากการขายวัสดุก่อสร้างจะอยู่ที่ 700 ล้านบาทถึง 1 พันล้านบาทต่อปี ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จาก 2 ธุรกิจนี้ยังคงไม่เพียงพอที่จะสร้างผลกำไรโดยรวมให้แก่บริษัทได้

กระแสเงินสดอ่อนแอเมื่อเทียบกับภาระหนี้

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 9 พันล้านบาทในปี 2563 ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ 260 ล้านบาทเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง ภายใต้ประมาณการพื้นฐานในปี 2564-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีจากมูลค่า Backlog จำนวนมาก โดยอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของบริษัทจะอยู่ในช่วง 5%-6% และอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 7% จากอัตรากำไรที่อยู่ในระดับต่ำ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลกำไรที่ต่ำหรืออาจขาดทุนเล็กน้อยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ในช่วง 600-700 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ประมาณ 300-450 ล้านบาทต่อปี

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 58.3% ณ เดือนกันยายน 2563 เพิ่มจาก 57.9% ณ สิ้นปี 2562 และประมาณ 50% ในช่วงปี 2558-2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปจากความล่าช้าในงานก่อสร้างบางโครงการและมีความต้องการในการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานโครงการใหม่ ๆ อีกด้วย

ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 พันล้านบาทในปี 2564-2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-65% กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 10% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5 เท่า

สามารถต่อสัญญากู้ยืมได้

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทมีแหล่งเงินทุนเป็นเงินสดจำนวน 963 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีเงินกู้ระยะสั้นและเงินกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้ารวมทั้งสิ้น 3.9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในโครงการก่อสร้างซึ่งมีกำหนดชำระคืนตามความก้าวหน้าของการก่อสร้าง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถต่อสัญญาการกู้ใหม่ออกไปได้จากความคืบหน้าของงานที่ดำเนินการอยู่

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดย เงื่อนไขทางการเงินที่สำคัญของเงินกู้ยืมจากธนาคารกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกิน 2.25 เท่า ทั้งนี้ อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.3 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2563-2565 มีดังต่อไปนี้

? ในช่วงปี 2563-2565 รายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 9-12 พันล้านบาทต่อปี

? อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 7%

? บริษัทจะได้งานรับเหมาก่อสร้างใหม่มูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และมูลค่า 7 พันล้านบาทในปี 2564 และปี 2565

? รายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ในช่วง 400-500 ล้านบาทต่อปี

? รายได้จากการขายวัสดุก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 0.7-1.5 พันล้านบาทต่อปี

? เงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจหลักเอาไว้ได้และจะสามารถประมูลงานขนาดใหญ่ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องจากการที่ภาครัฐเร่งประมูลงานโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทนั้นน่าจะอยู่ในระดับตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินนั้นน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 55%-65%

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ หากบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและลดภาระหนี้สินลงได้อย่างมากจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเกินกว่า 15%

ในทางตรงกันข้าม การปรับลดลงของอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงอ่อนแอลงจนต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งอาจจะเกิดจากการมีต้นทุนสูงกว่างบประมาณจำนวนมากหรือมีการตั้งสำรองหนี้เสียจากลูกหนี้การค้าจำนวนมาก จนเป็นเหตุให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินต่ำกว่า 10% เป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) (NWR)

อันดับเครดิตองค์กร: BB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ