ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ฐิติกร” เป็น “BBB+” จาก “A-”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 30, 2021 19:03 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ?BBB+? จากระดับ ?A-? พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? จาก ?Negative? หรือ ?ลบ? ทั้งนี้ การลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่ถดถอยลงในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักภายในประเทศของบริษัท ในขณะที่อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการรักษาการทำกำไรที่ดี และสภาพคล่องที่เข้มแข็งของบริษัทเช่นเดิม

ปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตของบริษัทคือคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มที่อาจจะลดลงจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ค่อนข้างสูงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ในขณะเดียวกัน การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดภายในประเทศที่อาจส่งผลกดดันต่อการปรับเพิ่มขึ้นของอัตรารายได้ดอกเบี้ยสุทธิของบริษัทในระยะปานกลางอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางการตลาดภายในประเทศที่ถดถอยลง

การปรับลดอันดับเครดิตมีสาเหตุหลักมาจากการอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญของสถานะทางการตลาดและฐานลูกค้าภายในประเทศของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2563 สินเชื่อรวมของบริษัทยังคงหดตัวลงมากกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ โดยปรับลดลง 37% เหลือ 5.2 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับในช่วงสิ้นปีก่อน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 สินเชื่อรวมของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเหลือ 4.8 พันล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การเติบโตแบบระมัดระวังของบริษัทในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ทั้งนี้ สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยจะเป็นความท้าทายของบริษัทในการที่จะฟื้นสถานะทางการตลาดให้กลับมาได้ในปีนี้ ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถเติบโตอีกครั้งได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีสถานะทางธุรกิจที่เหนือกว่าคู่แข่งอีกหลายๆ แห่งเมื่อพิจารณาในแง่ของการกระจายตัวของธุรกิจ กล่าวคือ บริษัทมีสินเชื่อที่มีการกระจายตัวที่ดีในแง่ภูมิศาสตร์โดยครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศตลอดจนถึงประเทศในกลุ่ม CLMV บางประเทศ เช่น ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา บริษัทมีสัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศคิดเป็น 21% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมดของบริษัท ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเพิ่มขึ้น 16% จากสิ้นปี 2562 แม้ว่าสินเชื่อในต่างประเทศจะหดตัวลงที่ระดับ 15% ในปี 2563 เหลือ 1.1 พันล้านบาทอันเนื่องมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ตาม

มีฐานทุนที่แข็งแกร่ง

การที่บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ยังคงเป็นจุดแข็งด้านเครดิตของบริษัท ทริสเรทติ้งประเมินฐานทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก โดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 56.1% ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 34.5% ณ สิ้นปี 2562 ฐานทุนที่ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สินเชื่อของบริษัทปรับตัวลดลงและผนวกกับกำไรสะสมที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะปรับตัวลดลงในอนาคตหากบริษัทเริ่มกลับมาขยายฐานสินเชื่ออีกครั้ง ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับฐานทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ซึ่งฐานทุนที่มีความแข็งแกร่งของบริษัทจะช่วยรองรับค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่อ่อนแออันเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในขณะเดียวกัน ระดับการก่อหนี้ของบริษัทก็ยังคงอยู่ในระดับต่ำโดยวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.37 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 0.72 เท่า ณ สิ้นปี 2562 จากการให้สินเชื่อของบริษัทที่ใช้ส่วนทุนเป็นหลัก

การขยายธุรกิจในต่างประเทศสนับสนุนการเติบโต

ในระยะปานกลางทริสเรทติ้งมองว่าการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของบริษัทเมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทมีแผนขยายธุรกิจภายในประเทศที่ระมัดระวังอันเนื่องมาจากการแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีโอกาสจะเพิ่มสูงขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าสินเชื่อในต่างประเทศจะมีสัดส่วนประมาณ 30% ของสินเชื่อรวมของบริษัทภายในปี 2566 โดยที่สินเชื่อในประเทศจะยังคงเป็นสินเชื่อหลักของบริษัท สัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศต่อสินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 21% ณ สิ้นปี 2563 จากระดับ 18% และ 10% ณ สิ้นปี 2562 และปี 2561 ตามลำดับ โดย 17% มาจากลูกค้าในประเทศกัมพูชาและ 4% มาจาก สปป. ลาว

ข้อดีของการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV คือ การแข่งขันและความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกินกว่า 90 วัน) ของบริษัทลูกในต่างประเทศเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2562 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2563 โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทลูกในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ในปี 2563 จาก 2.8% และ 0.7% ในปี 2562 และปี 2561 ตามลำดับเมื่อเทียบกับอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ภายในประเทศที่ระดับ 10.5% ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และแม้ว่าระบบเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่บริษัทลูกในต่างประเทศของบริษัทก็ยังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ค่อนข้างดี

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

การมีสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นผลบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความแข็งแกร่งดังกล่าวจะยังคงอยู่ต่อไปในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าจากแผนการขยายสินเชื่อแบบระมัดระวังของบริษัท โดย ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีเงินสดในมืออยู่ที่ 2 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปี 2561 ที่บริษัทมีเงินสดในมือเฉลี่ยอยู่ที่ราว ๆ 100-200 ล้านบาท

บริษัทค่อนข้างมีการพึ่งพาเงินทุนระยะยาวมากกว่าคู่แข่ง แต่จากการที่ธุรกิจชะลอตัวลงจึงทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเริ่มลดลงมาตั้งแต่ปี 2562 ทั้งนี้ ในปี 2563 สัดส่วนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยหนี้สินระยะยาวจำนวน 7% หนี้สินระยะสั้นจำนวน 15% ซึ่งจากสัดส่วนของหนี้สินระยะสั้นนี้เป็นเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระภายใน 1 ปีที่ระดับ 13% และส่วนที่เหลือเป็นส่วนทุนที่ระดับ 78%

ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีส่วนต่างของระยะเวลา (duration gap) ระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินเป็นบวก ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนต่างดังกล่าวจะยังคงเป็นบวกต่อไปในอีกใน 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดรับสุทธิจากการชำระคืนหนี้ของลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 160 ล้านบาทต่อเดือนในระยะ 12 เดือนข้างหน้า

คุณภาพสินทรัพย์มีสัญญาณที่ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทแม้จะอ่อนแอแต่ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับของคู่แข่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นข้อจำกัดต่ออันดับเครดิตของบริษัท ในปี 2563 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 9.2% จาก 4.5% ในปี 2562 ซึ่งเกิดจากปัจจัย 2 ประการคือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทที่ถดถอยลงจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงต้นปี 2563 และสินเชื่อรวมของบริษัทที่หดตัวลง อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทก็มีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง โดยในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา อัตราการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 10% ในอดีตซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายสินเชื่อที่ระมัดระวัง

ในปี 2563 อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยของบริษัทลดลงเหลือ 9.6% จากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 10% ในระหว่างปี 2560-2561 ซึ่งเกิดจากการที่บริษัทมีการตั้งสำรองจำนวนมากไว้แล้วในปี 2562 เพื่อการเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9) ที่เริ่มใช้ในปี 2563 รวมไปถึงสินเชื่อรวมของบริษัทที่ปรับลดลงในปี 2563 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยของบริษัทปรับตัวลดลงเหลือ 7.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอัตราที่ลดลง ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2564 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นเป็น 130.4% จาก 118.3% ณ สิ้นปี 2563 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในด้านคุณภาพสินทรัพย์ แต่การที่สภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงที่ถดถอยเป็นเวลานานก็อาจจะส่งผลกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทและต่อเนื่องไปถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้อันเนื่องมาจากต้นทุนด้านเครดิตที่อาจจะปรับตัวสูงขึ้น

ผู้ประกอบการรายใหม่จะเพิ่มแรงกดดันต่อผลตอบแทนและคุณภาพสินทรัพย์

ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลทำให้ยอดขายรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยปรับตัวลดลงถึง 11.8% ในปี 2563 ซึ่งส่งผลทำให้สินเชื่อรวมของผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ทั้ง 9 รายในฐานข้อมูลทริสเรทติ้งปรับตัวลดลง 2% ในปี 2563 ถึงแม้ว่าการเติบโตของยอดขายรถจักรยานยนต์ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่ง แต่การอนุมัติสินเชื่อของผู้ประกอบการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยังคงมีความระมัดระวังอันเนื่องมาจากความกังวลต่อความสามารถในการชำระคืนหนี้ของผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ อย่างไรก็ตาม ยอดสินเชื่อปล่อยใหม่อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแผนการส่งเสริมการขายโดยการลดอัตราดอกเบี้ยของผู้ประกอบการรายใหม่เพื่อสร้างแรงจูงใจ แต่การแข่งขันที่รุนแรงก็น่าจะสร้างแรงกดดันมากขึ้นต่ออัตราผลตอบแทนของสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อของทั้งอุตสาหกรรมในระยะปานกลาง

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 ดังนี้

? สินเชื่อคงค้างจะหดตัวในปี 2564 และจะเติบโตโดยเฉลี่ยที่ระดับประมาน 10%-20% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2566

? อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงจะอยู่ในระดับมากกว่า 40%

? อัตราผลตอบแทนของรายได้ดอกเบี้ยต่อสินเชื่อรวมจะคงอยู่ในระดับประมาณ 30%

? ต้นทุนทางเครดิตจะคงอยู่ที่ระดับประมาณ 10%-11% ต่อปี

? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะอยู่ในระดับประมาน 50%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะค่อยๆ กู้คืนสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์กลับมาได้ โดยแนวโน้มอันดับเครดิตอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีอัตราส่วนการก่อหนี้ในระดับต่ำ โดยมีสภาพคล่องและความสามารถในการทำกำไรที่ยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์จะยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีข้อจำกัดในระยะสั้น ในขณะที่โอกาสในระยะยาวนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถกลับมามีสถานะเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ได้อีกครั้งโดยยังสามารถรักษาผลการดำเนินงานทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าพอใจเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการตลาดของบริษัทอ่อนแอลงไปมากกว่าเดิม หรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับที่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งพิจารณาได้จากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยที่ลดลงต่ำกว่า 1.5% หรือระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงซึ่งลดลงต่ำกว่าระดับ 25%

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563

บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) (TK)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ