ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. เสนา ดีเวลลอปเม้นท์” ที่ “BBB” แนวโน้ม “Negative”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 22, 2023 15:23 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? โดยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่บริษัทกำลังจะได้รับรวมทั้งภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยจากผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นและการกลับมากำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan-to-Value หรือ LTV) อีกครั้ง

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงประวัติผลงานที่ได้รับการยอมรับของบริษัทในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ในระดับปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่น่าพอใจ รวมถึงเงินได้ที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในกิจการร่วมค้า (Joint Venture -- JV) และสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

รายได้และ EBITDA ในอนาคตที่ยังคงไม่แน่นอน

รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในปี 2565 ต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์เอาไว้ บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2565 เติบโตที่ระดับ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิมของทริสเรทติ้งซึ่งอยู่ที่ระดับ 60% เนื่องจากบริษัทมีการเปิดตัวโครงการของบริษัทเองน้อยลงและมีอัตราการยกเลิกการซื้อที่สูงขึ้นในกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลางถึงต่ำ อย่างไรก็ตาม EBITDA ของบริษัทยังคงเป็นไปตามการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งที่จำนวน 1.5 พันล้านบาทเนื่องจากบริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้นจากกิจการร่วมค้า โดยบริษัทมียอดโอนอสังริมทรัพย์ภายใต้กิจการร่วมค้าจำนวน 4.5 พันล้านบาทในปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าส่วนแบ่งรายได้จากกิจการร่วมค้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเนื่องจากโครงการใหม่ของบริษัทจะเน้นการเปิดโครงการผ่านกิจการร่วมค้า

สำหรับในช่วงระหว่างปี 2566-2568 นั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่ารายได้จากการดำเนินงานและ EBITDA ของบริษัทน่าจะยังคงมีความไม่แน่นอนและอาจจะไม่เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ต่อไปอีกเนื่องจากสภาพการณ์ของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอของกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลางถึงต่ำ โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะต่ำกว่า 5 พันล้านบาท (ไม่รวมรายได้จากกิจการร่วมค้า) ในขณะที่ EBITDA ในปี 2566-2568 อาจจะไม่ดีขึ้นมากนักจากปีก่อน

ภาระหนี้สินทางการเงินจะยังคงสูงจากการขยายธุรกิจในเชิงรุก

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2566-2568 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่ำกว่าเป้าหมายของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ การที่บริษัทขยายโครงการอย่างรวดเร็วในตลาดที่อยู่อาศัยและลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ จะสร้างแรงกดดันให้กับสถานะทางการเงินของบริษัท

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทยังคงสูงโดยอยู่ที่ระดับ 56% ณ เดือนมีนาคม 2566 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ที่ระดับ 7% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของทริสเรทติ้งที่ระดับ 10% ค่อนข้างมากอันเป็นผลมาจากการโอนที่อยู่อาศัยที่น้อยกว่าคาด

ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ที่มูลค่ามากกว่า 5 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ส่วนงบประมาณสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการของบริษัทเองในแต่ละปีนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อปีสำหรับงบลงทุนและการเพิ่มทุนสำหรับการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ อีกด้วย

เมื่อพิจารณาจากการขยายโครงการที่รวดเร็วของบริษัทกอรปกับความไม่แน่นอนของรายได้และ EBITDA ภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจึงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้จะยังคงมีความท้าทาย การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่สูงกว่าระดับ 60% และการลดลงของอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ต่ำกว่า 7.5% อาจจะส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้

ข้อกำหนดทางการเงินระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนไม่ให้เกินกว่า 2 เท่าสำหรับเงินกู้จากสถาบันการเงินและที่ระดับไม่เกิน 2.5 เท่าสำหรับหุ้นกู้ ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 1.31 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ คือในเดือนมกราคม เดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคม ทริสเรทติ้งมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นนอกจากจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการระดมทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้วยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำอีกด้วย การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยยังอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของนักลงทุนด้วยเช่นกันเพราะอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังอาจจะลดลงเนื่องจากต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้คาดหวังว่าสัดส่วนของอุปสงค์จากนักลงทุนและ/หรือจากนักเก็งกำไรจะเพิ่มขึ้น

การกลับมากำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan-to-Value หรือ LTV) อีกครั้งก็อาจจะส่งผลให้อุปสงค์ของการซื้อที่อยู่อาศัยเบาบางลงในช่วงระยะสั้นถึงระยะปานกลางด้วยเช่นกัน ทริสเรทติ้งมองว่าการปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบนเนื่องจากผู้ซื้อในกลุ่มนี้อาจมีสัญญาจำนองมากกว่า 1 สัญญาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีต่อบริษัทนั้นน่าจะมีค่อนข้างต่ำเนื่องจากลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทคือผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ

ส่วนแบ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกิจการร่วมค้า

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากรายได้ที่มาจากการบริหารโครงการและส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากกิจการร่วมค้าตามแผนการขยายการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านกิจการร่วมค้าที่มากกว่าการลงทุนที่บริษัทพัฒนาโครงการเอง

ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งในส่วนของคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบผ่านกิจการร่วมค้ามูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งเท่ากับมูลค่ารวมของโครงการกิจการร่วมค้าที่เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้จากการบริหารโครงการกิจการร่วมค้าที่ประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 หรือประมาณ 20% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจากระดับ 700-900 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการโอนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นที่ระดับ 250-350 ล้านบาทต่อปี จากการมียอดขายรอรับรู้รายได้จากโครงการกิจการร่วมค้าซึ่งมีมูลค่า 6.4 พันล้านบาท โดยประมาณ 70% มีกำหนดที่จะทำการโอนภายในปีนี้

สถานะทางการตลาดที่ยอมรับได้ซึ่งคาดว่าจะมีอัตรากำไรที่น่าพอใจ

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทยังจะยังคงสามารถดำรงสถานะทางการตลาดและขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์เอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะเกิดผลกระทบจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ แต่ยอดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทในปี 2565 ก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 9.3 พันล้านบาทจากระดับ 2.6 พันล้านบาทในปี 2563 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำน่าจะช่วยสนับสนุนสถานะทางการตลาดโดยรวมของบริษัทได้ในระยะที่ยาวนานขึ้น

ในขณะเดียวกันความสามารถของบริษัทในการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพก็น่าจะช่วยรักษาความสามารถในการ

ทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทบันทึกอัตรากำไรในระดับที่ค่อนข้างสูงโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 44%-49% และมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ระดับ 20%-29% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

ของอุตสาหกรรมที่ระดับประมาณ 32%-35% และ 15%-20% ตามลำดับ โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ใน 5 อันดับแรกของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการจัดอันดับจากทริสเรทติ้งจำนวนทั้งสิ้น 25 ราย ทั้งนี้ กำไรสุทธิของบริษัทซึ่งไม่นับรวมรายการกำไรพิเศษเพียงครั้งเดียวจากการซื้อกิจการของ บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SENX) ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 10% อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 6% ในช่วงระหว่างปี 2564-2565 จากการลงทุนที่มีนัยสำคัญใน SENX ตั้งแต่ปี 2564

ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถของบริษัทในการจัดหาที่ดินในราคาที่ดี รวมทั้งประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารน่าจะช่วยให้บริษัทคงความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกัน ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่เพิ่มมากขึ้นก็น่าจะช่วยทำให้อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 15%-17% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 เอาไว้ได้ ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรของบริษัทไม่น่าจะปรับตัวลดลงไปมากกว่าในระดับปัจจุบัน

คาดหวังว่าสภาพคล่องจะมีเพียงพอ

ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถกู้ยืมใหม่เพื่อทดแทนหนี้หุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินที่จะครบกำหนด (รีไฟแนนซ์) เพื่อที่จะรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอและเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2566 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 1.8 พันล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนอีกจำนวน 5 พันล้านบาท ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นคาดว่าจะอยู่ที่จำนวน 1.1 พันล้านบาท

ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 6.2 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 1.8 พันล้านบาท เงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 1.3 พันล้านบาท ตั๋วแลกเงินระยะสั้นจำนวน 1.5 พันล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจำนวน 1.6 พันล้านบาท บริษัทจะชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดด้วยกระแสเงินสดภายในกิจการและ/หรือออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน ส่วนเงินกู้โครงการนั้นโดยปกติบริษัทจะชำระคืนด้วยเงินที่ได้รับจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย บริษัทยังมีแผนการที่จะต่อตั๋ว (Roll Over) เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินออกไปอีกโดยบางส่วนจะเปลี่ยนเป็นเงินกู้โครงการระยะยาวต่อไป

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมตามการคำนวณหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของทริสเรทติ้งอยู่ที่จำนวนประมาณ 1.18 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนซึ่งรวมหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้สินรวมของบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่จำนวนประมาณ 2.7 พันล้าน ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 23%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานที่สำคัญของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2566-2568 มีดังนี้

? บริษัทจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่ารวม 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และมูลค่าประมาณ 1.0-1.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568

? งบประมาณประจำปีสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการของบริษัทเองจะอยู่ที่จำนวน 0.8-1.2 พันล้านบาท

? รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อปี

? EBITDA จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.5-1.7 พันล้านบาทต่อปี

? ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าในโครงการอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่จำนวน 250-350 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของประมาณการรายได้และกำไรของบริษัทท่ามกลางสภาพการณ์ของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงเนื่องจากการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับกลับมาเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? ได้หากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงสอดคล้องกับการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับเกินกว่า 7.5% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับประมาณ 55% ตลอดช่วงเวลาประมาณการ

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการของทริสเรทติ้งจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินต่ำกว่าระดับ 7.5% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับสูงกว่า 60% โดยไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- การจัดอันดับเครดิตบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, 12 มกราคม 2566

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

SENA249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 470 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB

SENA253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB

SENA259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,530 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB

SENA262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com

ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ