(เพิ่มเติม) สศก. ชี้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำมีผลกระทบภาคเกษตรน้อย แต่อาจมีผลต่อต้นทุนบางสาขาที่ใช้แรงงานมากช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 22, 2018 11:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอีก 5-22 บาท ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ย่อมมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพื่อใช้สำหรับผลิตสินค้าและบริหารของแต่ละสาขาในระบบเศรษฐกิจ ในส่วนภาคการเกษตร มีอัตราส่วนต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่อต้นทุนการผลิต 17.4% โดยเฉลี่ยใช้แรงงานเป็นหลักในกิจกรรมการผลิต ขณะที่ภาคบริการ มีอัตราส่วนต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่อต้นทุนการผลิต 20.2% โดยภาคบริการเฉลี่ยใช้แรงงานคนมาก เพราะต้องสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าในการให้บริการ และภาคอุตสาหกรรม มีอัตราส่วนต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่อต้นทุนการผลิต 9.0% โดยต้นทุนแรงงานไม่มาก เนื่องจากอุตสาหกรรมมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยผลิตสินค้า

ด้านนางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก.กล่าวว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอาจไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรมากนัก แต่อาจจะกระทบต่อค่าจ้างแรงงานในช่วงที่เป็นฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวที่ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรโดยรวมสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ระดับรายได้ของภาคครัวเรือนเกษตรที่มีอาชีพแรงงานก็จะเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นไปด้วย ส่งผลให้มีการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของ สศก. ถึงผลกระทบจากการเพิ่มค่าจ้างแรงงานต่อระบบเศรษฐกิจการเกษตรไทย โดยพิจารณาจากสัดส่วนต้นทุนค่าจ้างแรงงานถึงผลกระทบต่อภาคเกษตรของแต่ละสาขา พบว่า สาขาพืช ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมากสุด โดยมีสัดส่วนต้นทุนแรงงานเฉลี่ย 17.8% ได้แก่ การทำไร่อ้อยโรงงาน สวนยางพารา การทำไร่ข้าวโพด การทำไร่มันสำปะหลัง การทำสวนผัก และการทำสวนผลไม้ โดยการผลิต จำเป็นต้องใช้แรงงานตั้งแต่การเริ่มการเตรียมดิน การเพาะปลูก การดูแลรักษา จนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต

รองลงมา คือ สาขาบริการทางการเกษตร มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานเฉลี่ย 12.1% ซึ่งมีการใช้แรงงานที่ไม่มากนัก เนื่องจากได้นำเทคโนโลยีเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานบางกิจกรรมการผลิต เช่น เครื่องเกี่ยวข้าว เครื่องตัดอ้อย เป็นต้น, สาขาประมง มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานเฉลี่ย 8.4% ซึ่งการทำประมงทะเลจะได้รับผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่าการทำประมงน้ำจืด และสาขาปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำน้อยที่สุด โดยมีสัดส่วนต้นทุนแรงงานเฉลี่ย 8.0% จากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงงาน ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ปีก และสุกร

"หากมองถึงภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเป็นหลักในการผลิตสินค้า และใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิตยังไม่มาก ซึ่งบางส่วนยังขาดแรงงานที่มีทักษะ และการจ้างงานภาคเกษตรเป็นลักษณะการจ้างเหมาตามกิจกรรมงานหรือตามฤดูกาล ดังนั้น ค่าจ้างแรงงานจะเป็นการตกลงกันของผู้จ้างและผู้รับจ้าง โดยยึดความสมัครใจและพอใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ทำให้การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อาจไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรมากนัก แต่อาจจะกระทบต่อค่าจ้างแรงงานในช่วงที่เป็นฤดูกาลเพาะปลูก และเก็บเกี่ยวที่ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรโดยรวมสูงขึ้น" รองเลขาธิการ สศก.กล่าว

นางอัญชนา กล่าวว่า แม้การปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำจะมีผลกระทบต่อภาคเกษตรค่อนข้างน้อย แต่สิ่งสำคัญคือภาคการเกษตรยังคงต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ ทั้งการพัฒนาศักยภาพแรงงานเกษตรเพื่อให้สามารถลดต้นทุนในการผลิต รวมทั้งเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานภาคการเกษตรเป็นแบบการรวมกลุ่มเกษตรกรหรือคนในชุมชน และการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้เพื่อให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ