ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ อาจตกอยู่ในภาวะวางตัวลำบากหลังอิหร่านทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุด ทว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเชื่อว่านายทรัมป์จะไม่หยิบยกการคว่ำบาตรกับอิหร่านที่ยกเลิกไปเมื่อปี 2558 มาบังคับใช้อีก
ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและสหรัฐยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังอิหร่านทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุด โดยบางฝ่ายเห็นว่าการทดสอบดังกล่าวนั้นละเมิดมติ 2231 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคณะบริหารของนายทรัมป์ก็ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าวของอิหร่านเป็นอย่างมาก พร้อมประกาศว่าจะจับตาดูอิหร่านอย่างใกล้ชิด
ความกดดันยิ่งทวีขึ้นอีกเมื่อนายทรัมป์ และนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการต่อต้านการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นมีความสำคัญ ทว่า อิหร่านออกมาโต้แย้งว่าการทดสอบขีปนาวุธของตนมิได้ขัดแย้งกับข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านและสหรัฐ อีกทั้งยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปอย่างสันติ
ก่อนหน้านี้กลุ่มชาติมหาอำนาจได้ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน หลังจากที่อิหร่านลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์ ยิ่งไปกว่านั้นประเทศฝั่งตะวันตกต่างปรารถนาที่จะทำธุรกิจร่วมกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางด้วย
ดาร์เรลล์ เวสต์ รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาวิธีการปกครองประจำสถาบัน Brookings Institution กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า ยิ่งอิหร่านดำเนินมาตรการยั่วยุทางทหารเช่นนี้ต่อไป นายทรัมป์จะยิ่งวางตัวลำบากเข้าไปอีก ซึ่งนายทรัมป์ควรถอยออกมา และพยายามข้องแวะกับอิหร่านให้น้อยลง เพราะในยามที่ใคร ๆ ต่างก็อยากสานสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอิหร่าน ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับสหรัฐในการที่จะต่อกรกับอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม นายจิม ฟิลลิปส์ นักวิจัยอาวุโสด้านตะวันออกกลางแห่ง Heritage Foundation แสดงความเห็นว่า นายทรัมป์จะโต้ตอบอิหร่านด้วยท่าทีแข็งกร้าวผ่านนโยบายของนายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
บทวิเคราะห์โดย แมททิว รัสลิง / สำนักข่าวซินหัวรายงาน