Analysis: ความสัมพันธ์อันแสนเย็นชาที่ยิ่งจะเย็นชาระหว่างสหรัฐและรัสเซีย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 9, 2017 13:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียตกอยู่ในจุดที่ต่ำสุด และมีแนวโน้มว่า จะย่ำแย่ลงไปอีก ภายหลังจากที่สหรัฐได้ออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่ในสัปดาห์นี้

ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐ กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวอาจจะทำให้ทั้ง 2 ประเทศตกอยู่ในจุดยืนแห่งการเผชิญหน้ากันมากยิ่งขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียย่ำแย่มาระยะหนึ่งแล้ว ท่ามกลางความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับสงครามในซีเรีย ความขัดแย้งในยูเครน และข้อกล่าวหาของสหรัฐที่ว่า รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่า ทางรัสเซียจะได้ออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันแล้วก็ตาม

นักวิเคราะห์กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐที่ได้รับการอนุมัติจากทั้ง 2 สภานี้ ตอกย้ำให้เห็นว่า สภาคองเกรสนั้นเชื่อว่า สหรัฐไม่สามารถร่วมงานกับรัสเซียได้ แม้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ จะตั้งความหวังหลายครั้งที่ผ่านมาว่า ทั้ง 2 ประเทศจะสามารถร่วมงานกันได้บางประเด็น

นีล การ์ดิเนอร์ ผู้อำนวยการ Margaret Thatcher Center for Freedom ของมูลนิธิ The Heritage Foundation กล่าวกับซินหัวว่า ความสัมพันธ์ที่เย็นชานี้ จะยิ่งเย็นชามากขึ้น

การ์ดิเนอร์ กล่าวว่า นโยบายของสหรัฐที่มีต่อรัสเซียนั้นมุ่งไปเพียงทิศทางเดียวเท่านั้น และเป็นไปในทิศทางที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยมาตรการคว่ำบาตรที่ได้มีการประกาศใช้ยิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลง

การ์ดิเนอร์ กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดทั้งปวงนี้ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มของการสานสัมพันธ์กับรัสเซียคงจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ที่ผ่านมา ทรัมป์หวังว่า รัสเซียจะร่วมมือกับสหรัฐเพื่อปราบปรามกลุ่มรัฐอิสลาม ที่กระจายไปยังตะวันออกกลาง แม้ว่า กลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้จะอยู่ในฝั่งตั้งรับก็ตาม

อภิมหาเศรษฐีของนิวยอร์กอยากจะร่วมมือกับรัสเซีย เพื่อยุติความขัดแย้งในซีเรีย แต่การที่ทรัมป์ได้ลงนามใช้มาตรการคว่ำบาตรนั้น นักวิเคราะห์กล่าวว่า ท้ายที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนี้

การ์ดิเนอร์ กล่าวว่าความสัมพันธ์ที่เลวร้ายอาจจะเห็นได้ชัดเจนมากกว่านี้ เมื่อมีการใช้มาตรการเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆในภูมิภาค

"ผมคิดว่า ดูเหมือนว่าจะมีการคว่ำบาตรรัสเซียมากยิ่งขึ้น และน่าจะมีการจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครนมากขึ้นด้วยเช่นกัน" การ์ดิเนอร์ กล่าว

"กองทัพสหรัฐจะปรากฎตัวในยุโรปตะวันออกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่บอลติคและโปแลนด์ เราจะได้เห็นเครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐประจำการอยู่ในยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร เพื่อส่งคำเตือนไปยังรัสเซีย และผมคิดว่า เราจะได้เห็นความร่วมมือที่มีมากขึ้นกับประเทศต่างๆอย่างโปแลนด์"

จริงๆแล้ว สหรัฐและโปแลนด์ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ทรัมป์ตำหนิรัสเซีย ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับโปแลนด์มาแต่ไหนแต่ไรในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ก่อนหน้านี้

ดาร์เรล เวสท์ นักวิชาการอาวุโสจากสถานบันบรู๊กกิ้งส์ ก็มองว่า ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกำลังย่ำแย่ลง

เวสท์ กล่าวกับซินหัวว่า ความสัมพันธ์จะยังคงผันผวนต่อไปในอนาคตที่ยังไม่มีความชัดเจน

เวสท์กล่าวต่อไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ว่า การที่แต่ละฝ่ายต่างแบกรับแรงกดดันมีแต่จะแยกผู้นำทั้ง 2 ประเทศออกจากกัน และยังทำให้การบรรลุข้อตกลงที่มีความหมายใดๆก็ตามเป็นเรื่องยาก

เวสท์ ยังกล่าวด้วยว่า สถานการณ์คงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปกว่าที่ความสัมพันธ์ของสหรัฐและรัสเซียจะดีขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญยังมองว่า รัสเซียคงไม่เสี่ยงทำสงครามกับสหรัฐ เพราะรัสเซียไม่ใช่มหาอำนาจระดับโลกเหมือนที่เคยเป็นในช่วงสงครามเย็นอีกต่อไป และอำนาจของรัสเซียก็จำกัดอยู่เพียงที่ยุโรป ไม่ได้มีความสามารถที่จะปกป้องอำนาจของตนเองไปทั่วโลกแต่อย่างใด

นักวิเคราะห์ของสหรัฐ กล่าวว่า ในทางตรงกันข้ามแล้ว สหรัฐคือมหาอำนาจของโลก

แดน มาฮัฟฟี รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการด้านนโยบายของศูนย์ Center for the Study of Congress and the Presidency กล่าวกับซินหัวว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ของสหรัฐและรัสเซียอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด และอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้

"ทั้ง 2 ประเทศมีความเกี่ยวข้องในด้านเศรษฐกิจมากกว่าสงครามเย็น แต่ซีเรียถือเป็นข้อพิพาทและเป็นผลพวงมาจากสงครามเย็น" แดนกล่าวถึงความขัดแย้งที่ไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงระหว่างสหรัฐและรัสเซีย

มาฮัฟฟี กล่าวว่า สหรัฐจะยังคงเผชิญหน้ากับรัสเซียต่อไปเพื่อที่จะประลองกำลังกัน นอกจากนี้ ความสับสนจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปว่าเพราะเหตุใดทรัมป์จึงปฏิเสธที่จะระบุถึงผลกระทบด้านลบจากการกระทำของรัสเซียทั้งในระหว่างการเลือกตั้งและในต่างประเทศ ทั้งที่ชาวอเมริกันและเจ้าหน้าที่เองก็ยากที่จะเข้าใจได้

ในขณะที่ทรัมป์ลงนามในมาตรการคว่ำบาตรเพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในสัปดาห์นี้ ทรัมป์ก็กล่าวอย่างลังเลว่า เขาลงนามในกฎหมายดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ของความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้วิจารณ์สภาพคองเกรสว่า ทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐและรัสเซียอยู่ในจุดที่ตกต่ำและอันตราย

อย่างไรก็ดี สภาคองเกรสเองก็ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของรัสเซียที่ไม่สามารถประนีประนอมได้

มาฮัฟฟี กล่าวถึงมุมมองของสภาคองเกรสที่มีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า สภาคองเกรสได้ตัดสินใจที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของรัสเซียที่มีต่อสหรัฐนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่สามารถยอมรับได้

มาฮัฟฟี ยังกล่าวด้วยว่า ทั้ง 2 ประเทศจะยังคงร่วมมือกันในเรื่องมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายที่จำเป็นต่อไป และเมื่อเปรียบเทียบกับรัสเซียแล้ว สหรัฐเองก็มีคำนิยามที่แตกต่างกันมากในเรื่องการต่อต้านก่อการร้ายในซีเรีย

แมทธิว รัสลิง

สำนักข่าวซินหัวรายงาน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ