นายหม่าระบุว่า "หากมีความจำเป็น ธนาคารกลางจีนก็มีศักยภาพมากพอที่จะรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนผ่านทางการเข้าแทรกแซงโดยตรงในตลาดปริวรรตเงินตราเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านจิตใจต่อหลายฝ่ายจากความเคลื่อนไหวที่ไม่สมเหตุผลของอัตราแลกเปลี่ยน"
นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะช่วยให้เงินหยวนมีเสถียรภาพแล้ว ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมหาศาลของจีน ซึ่งมีปริมาณสูงที่สุดในโลกที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ จะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนยังคงมีเสถียรภาพในระยะสั้น
การแสดงความเห็นของนายหม่ามีขึ้นหลังจากค่าเงินหยวนได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับเปลี่ยนระบบของรูปแบบอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสะท้อนถึงตลาดได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับความสงสัยที่ว่า การลดค่าเงินหยวนจะนำไปสู่การแข่งขันกันลดค่าเงินของประเทศอื่นๆในเอเชียหรือไม่ นายหม่ากล่าวว่า จีนไม่ได้ตั้งใจหรือต้องการที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายหม่ากล่าวว่า ล่าวต่อไปว่า ยอดส่งออกที่อ่อนแอของจีนในเดือนมิ.ย. ซึ่งลดลง 8.3% จากปีก่อน ไม่ควรจะนำมาตีความว่าเป็นปัจจัยของการลดค่าเงิน เนื่องจากมีฐานการเปรียบเทียบในระดับที่สูง ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว และการส่งออกก็จะค่อยๆฟื้นตัวในช่วงต่อไปของครึ่งปีหลัง
สถานการณ์ดังกล่าวผนวกกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยให้จีนกลับเข้าสู่แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับเป้าหมายที่ 7%
"ดังนั้น จีนไม่จำเป็นต้องเปิดฉากสงครามค่าเงินเพื่อให้มีความได้เปรียบ" นายหม่ากล่าวย้ำ พร้อมกับเสริมว่า อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลหยวนใกล้จะถึงจุดมีดุลยภาพแล้ว
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่า การที่จีนปรับกลไกอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับตลาดมากขึ้นนั้น เป็นการผลักดันให้เงินสกุลหยวนมีคุณสมบัติที่จะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในตระกร้าเงิน SDR (Special Drawing Right) ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขานรับความเคลื่อนไหวของจีนในการปรับปรุงระบบการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และระบุว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อิงกับตลาดมากขึ้นจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานตะกร้าสกุลเงิน SDR หากมีการรวมเงินหยวนไว้ในตะกร้าสกุลเงินดังกล่าวสำนักข่าวซินหัวรายงาน