สถาบัน IMD World Competitiveness Center (IMD) ซึ่งเป็นโรงเรียนธุรกิจชื่อดังของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยรายงานประจำปี ว่าด้วยขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก (World Competitiveness Yearbook) ปรากฏว่า สหรัฐได้รับการจัดอันดับให้อยู่ที่อันดับ 3 ของโลก ต่ำกว่าฮ่องกงที่เบียดขึ้นครองอันดับ 1
IMD ระบุว่า "ความเป็นมหาอำนาจ" ทางเศรษฐกิจของสหรัฐขณะนี้ คงไม่เพียงพอที่จะทำให้รั้งอันดับ 1 ไว้ได้ อย่างที่เคยเป็นมาเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน
ทั้งนี้ สวิตเซอร์แลนด์ขยับขึ้นอีก 2 อันดับ ครองตำแหน่งประเทศที่มีขีดความสามารถทางการแข่งขันเป็นอันดับ 2 ขณะที่สิงคโปร์ร่วงลงสู่อันดับ 4 จาก 3 ตามมาด้วยสวีเดนที่ปีนี้ครองอันดับ 5 ไต่ขึ้นมาได้ถึง 4 อันดับ
นอกจากนี้ อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ญี่ปุ่นครองอันดับ 26 ขยับขึ้น 1 อันดับจากปีที่ผ่านมา ขณะที่จีนร่วงลง 3 อันดับ รั้งที่ 25 ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม IMD เผยว่า ถึงแม้ฮ่องกงและสิงคโปร์จะมาแรงในปีนี้ แต่ขีดความสามารถทางการแข่งขันของเอเชียในภาพรวม นับว่าถดถอยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการของ IMD World Competitiveness Center กล่าวว่า "สาเหตุที่ศักยภาพทางการแข่งขันของเอเชียถดถอยลง เป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงปัญหาความย่ำแย่ของงบดุลของทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน"
ปณิธานอันแน่วแน่ในการเป็นประเทศที่มีความพร้อมทางด้านธุรกิจ คือกุญแจสำคัญที่ส่งให้ฮ่องกงขึ้นครองอันดับ 1 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2555 จากการประเมินจาก 4 เกณฑ์ชี้วัดของ IMD ประกอบด้วย ศักยภาพทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ ประสิทธิภาพของภาคเอกชน และโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับสหรัฐนั้น ศักยภาพด้านเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง เว้นแต่ประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชนที่ตกต่ำลง สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า IMD เริ่มเปิดเผยผลการจัดอันดับประจำปี นับตั้งแต่ปี 2532 โดยในการเปิดเผยครั้งแรก ญี่ปุ่นครองอันดับ 1 และสหรัฐอยู่อันดับ 3