เจ้าหน้าที่ตัวแทนจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมที่กรุงเวียนนาเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยผู้ผลิตทั้งสองกลุ่มได้ตกลงให้มีการใช้มาตรการติดตามความคืบหน้าของแต่ละประเทศ ในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการด้านการติดตามผลการดำเนินงานของประเทศสมาชิกโอเปกและประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก (JMMC) ได้หารือกันเกี่ยวกับผลการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ประเทศสมาชิกโอเปก 13 ประเทศและประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก 11 ประเทศได้ลงนามร่วมกันไว้เมื่อเดือนธ.ค.2559 และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2560
ส่วนประเด็นอื่นๆที่มีการหารือกันนั้น ครอบคลุมถึงการปรับปริมาณการผลิตด้วยความสมัครใจ ซึ่งกำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะปรับปริมาณการผลิตน้ำมันโดยรวมอยู่ที่ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่นการนำเสนอรายงานด้านการผลิตต่อที่ประชุมโอเปกในแต่ละเดือน และจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปรับปริมาณการผลิต รายงานระบุว่า บรรดารัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจากทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจกับความคืบหน้าที่เกิดขึ้น โดยนายคาลิด อัล-ฟาลีห์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า การปฏิบัติตามข้อตกลงเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม เขารู้สึกพึงพอใจ มีมุมมองที่เป็นบวก และเชื่อว่าตลาดกำลังจะกลับมามีสมดุลอีกครั้ง จนถึงขณะนี้ บรรดาผู้ผลิตน้ำมันสามารถลดกำลังการผลิตได้แล้ว 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่นายฟาลีห์กล่าวว่า ความพยายามในการลดกำลังการผลิตให้ได้อีก 300,000 บาร์เรล/วัน กำลังดำเนินอยู่ และแสดงความหวังว่าบรรดาผู้ผลิตจะสามารถลดกำลังการผลิตได้ตามเป้าหมายที่ 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนก.พ.นี้
นายฟาลีห์กล่าวว่า การทำตามเป้าหมายได้ 100% จะทำให้ปริมาณสต็อกน้ำมันทั่วโลกลดลงราว 300 ล้านบาร์เรล และกลับไปอยู่ใกล้ระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี ภายในกลางปีนี้
ขณะที่นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย กล่าวว่า เขาพอใจกับระดับการปฏิบัติตามข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยในส่วนของรัสเซียได้ลดกำลังการผลิตไปแล้วราว 100,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่หลายประเทศก็ลดกำลังการผลิตน้ำมันมากกว่าที่ให้คำมั่นไว้
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย. กลุ่มโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน จากนั้นในเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน (รวมแล้วต้องลดกำลังการผลิตลงราว 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน) โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.ปีนี้ และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้