องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น แต่อัตราการเติบโตในหลายๆภูมิภาคยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
รายงานดังกล่าวระบุว่า "ปัจจุบันแรงงานกว่า 201 ล้านรายทั่วโลกนั้นไม่มีงานทำ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านรายเมื่อเทียบกับปี 2559 ส่วนอัตราการว่างงานทั่วโลกอยู่ที่ 5.8% และไม่น่าจะปรับตัวลดลงในเร็วๆนี้"
รายงานระบุว่า ภาวะแวดล้อมในระดับโลกและภูมิภาคสำหรับภาคธุรกิจนั้นได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปนับ ตั้งแต่ปี 2551 ขณะที่ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าที่มีต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ประกอบกับความวิตกที่ตามมาเกี่ยวกับปริมาณและคุณภาพของงานนั้น ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับหลายๆประเทศ
ส่วนแนวโน้มอื่นๆที่มีความสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ กำลังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของโลกแห่งการทำงานในรูปแบบที่ใหม่และแตกต่าง อีกทั้งยังทำให้สถานการณ์ในยุคหลังวิกฤติปี 2551 ความซับซ้อนมากขึ้นด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รายงานดังกล่าวมีหัวข้อว่า World Employment and Social Outlook 2017 ซึ่งประเมินว่าบริษัทต่างๆ ในฐานะที่เป็นกลไกสร้างงาน ได้รับผลกระทบและรับมือกับความเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างไรบ้าง
รายงานดังกล่าวยังมุ่งวิเคราะห์ผลกระทบจากความเคลื่อนไหวเหล่านี้ที่มีต่อผลการดำเนินธุรกิจและปัจจัยขับเคลื่อนด้านงานอีกด้วย ขณะเดียวกันรายงานยังได้ประเมินว่า นโยบายในการสนับสนุนภาคธุรกิจและภาวะแวดล้อมที่ดำเนินงานนั้นช่วยยกระดับการจ้างงานและคุณภาพของงานได้อย่างไรบ้าง เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างครอบคลุมและยั่งยืน
รายงานระบุว่า แม้หลายทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดความคืบหน้าบ้างแล้ว แต่แรงงานเกือบ 780 ล้านรายในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (คิดเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสาม) ยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจน
รายงานดังกล่าวเปิดเผยว่า คนงานกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลกนั้นมีงานที่ไม่มั่นคง โดยตัวเลขดังกล่าวปรับตัวขึ้นปีละประมาณ 11 ล้านคน
รายงานนี้สรุปไว้ว่า "สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความท้าทายสำคัญ เพราะคนงานเหล่านี้มีแนวโน้มลดลงในการได้งานที่มีรายได้มั่นคงและเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคม" ด้วยเหตุนี้เองในอนาคตทั่วโลกก็อาจจะประสบกับภาวะขาดงานที่มีคุณค่า (Decent Work Deficit)