เหล่าผู้เชี่ยวชาญของยุโรปเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหภาพยุโรป (EU) นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ซึ่งกำลังบริหารประเทศโดยยึดผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นอันดับแรก แต่ขณะเดียวกันบทบาทการเป็นผู้นำในเศรษฐกิจโลกก็ลดลง
อลิเซีย การ์เซีย-เออร์เรโร นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันคลังสมอง Bruegel และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายเอเชียของ Natixis ผู้บริหารจัดการด้านการลงทุน ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า เมื่อประเมินในแง่ของทั่วโลกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับ EU มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคของปธน.ทรัมป์
"รัฐบาลสหรัฐนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงไม่ควรที่จะไว้วางใจ และยังยึดผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นอันดับแรกด้วย" นักวิจัยรายนี้กล่าว "EU และจีนจึงจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาระดับโลก และพยายามทำให้โลกเดินหน้าต่อไปด้วยแนวทางแบบหลายฝ่าย"
เฟรดริค อีริซอน ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศแห่งยุโรป ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวเช่นกันว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับ EU เป็นความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยมีบทบาทอย่างมากต่อทิศทางเศรษฐกิจ"
นายอีริซอน กล่าวว่า "หากความสัมพันธ์นี้จืดจางลง ทุกคนจะเดือดร้อน แต่หากเฟื่องฟูแล้ว เราทุกคนก็จะได้รับผลประโยชน์"
"ปัจจุบันลัทธิคุ้มครองการค้าได้ปรากฏให้เห็นมากขึ้น ขณะที่สหรัฐห่างไกลการเป็นผู้นำและการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากขึ้น เราจึงควรให้ความสำคัญต่อการปกป้องระบบการค้าเสรี" เขากล่าว "ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับจีนและยุโรปในการปกป้องระบบนี้"