นายเจียงกล่าวว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ถ่านหินจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างพลังงานของจีน เนื่องจากคาดว่าอุปสงค์พลังงานในประเทศจะเติบโตขึ้นตามความเป็นอุตสาหกรรม ความเป็นเมือง และการเกษตรสมัยใหม่
อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าอุปสงค์ถ่านหินช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากภายใต้เศรษฐกิจ “บริบทใหม่" นั้น มีการกำหนดให้ภาคบริการได้ส่วนแบ่งก้อนโตในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ฟอสซิลอาจเข้ามาแทนที่พลังงานจากถ่านหิน
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่าวิธีการและรูปแบบการใช้ประโยชน์จากถ่านหินจะค่อยๆ ปรากฏควบคู่ไปกับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะถ่านหินจะถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบเช่นเดียวกับเชื้อเพลิง
นายเจียงเพิ่มเติมว่า ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ไป อุตสาหกรรมถ่านหินจะมีความสำคัญลำดับต้นในการปรับโครงสร้าง รวมถึงได้เลื่อนสถานะความสำคัญยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงการตัดอุปทานส่วนเกินลง ไปจนถึงการควบรวมและถือครองกิจการด้วย
การแสดงความคิดเห็นของนายเจียงมีขึ้นหลังจากสภาแห่งรัฐ หรือคณะรัฐมนตรีของจีนประกาศแผนปรับลดอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมถ่านหิน และระงับการอนุมัติเหมืองถ่านหินใหม่ก่อนสิ้นปี 2562
เอกสารชี้นำที่สภาแห่งรัฐ หรือคณะรัฐมนตรีของจีนตีพิมพ์เผยแพร่นั้นระบุว่า จีนจะลดการผลิตถ่านหินลง 500 ล้านตัน และจะรวบรวมถ่านหินจากผู้ประกอบการเหมืองแร่รายอื่นๆ ที่อาจผลิตได้น้อยทว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามาทดแทนจำนวนดังกล่าวในอีก 3 - 5 ปี ต่อจากนี้
การลดกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็กนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโครงสร้างด้านอุปทานของประเทศ และเป็นวาระสำคัญของการประชุมรัฐบาล
เมื่อช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีนลดปริมาณการผลิตถ่านหินลง 560 ล้านตัน และปิดเหมืองถ่านหินไปทั้งหมด 7,250 แห่ง จากเดิมที่มีเหมืองถ่านหิน 11,000 แห่ง และมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 5.7 ล้านตันในช่วงปลายปีที่แล้ว สำนักข่าวซินหัวรายงาน