TPIPP ทำกำไรสุทธิ Q2/60 ทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่อง เตรียมบุ๊ครายได้จาก COD โรงไฟฟ้าใหม่ปลายปีนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 15, 2017 14:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โชว์ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2/60 ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ทั้งกำไรสุทธิ รายได้รวมและปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้า ส่วนทิศทาง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ รับผลดีจากโรงไฟฟ้าใหม่ 3 แห่ง ที่จะเริ่มทยอย COD ปลายปีนี้ และค่า FT งวด ก.ย.- ธ.ค. 2560 ที่ปรับขึ้นอีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย หนุนผลงานเติบโตก้าวกระโดด พร้อมเล็งเข้าร่วมเสนอขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐเพิ่ม นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน TPIPP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13.64% จาก 1,144ล้านบาทในไตรมาส 2/59 และสูงกว่าในไตรมาส 1/60 ที่มีรายได้รวม 1,263 ล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/60 บริษัทมีกำไรสุทธิ 706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 41.2% จาก 500ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสูงกว่าไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรสุทธิ 698 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2/60บริษัทมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติ (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) 685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 198 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 40.65% จาก 487 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสูงกว่า ในไตรมาส 1/60 ที่มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 606 ล้านบาท ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 ที่ดีขึ้น เกิดจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ และติดตั้งเครื่องจักรโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ส่งผลให้สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้สูงสุดรวม 209.7 ล้านหน่วย สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารวม 197.10 ล้านหน่วย และได้รับผลดีการปรับขึ้นค่า FT ในอัตรา 12.40 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับการขายไฟให้กับการไฟฟ้า และในอัตรา 12.52 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับการขายไฟให้กับบริษัทแม่ ที่มีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่วนในงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.68%จาก 1,136 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีรายได้รวม 2,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น9.25% จาก 2,347 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน นายภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPP กล่าวว่า ทิศทางดำเนินงานช่วง 5 เดือนที่เหลือของ ปีนี้ คาดว่าจะได้รับผลดีจากการเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าใหม่อีก 3 โรง โดยในจำนวนนี้มี 2 โรง ที่ได้รับอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) เป็นที่เรียบร้อย ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW (TG 6) คาดว่าจะเริ่ม COD ประมาณปลายเดือนกันยายน หรือตุลาคมนี้ ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW (TG 7) ที่จะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บริษัทแม่ คาดว่าจะเริ่ม COD ในไตรมาส 4/60 ตามแผนงานที่คาดไว้ โดยบริษัทฯ จะนำไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้า TG 6 ไปรวมกับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW (TG 4) รวม 100 MW เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 90 MW ซึ่งคาดว่าจะลงนามได้ในช่วงกลางเดือน สิงหาคม 2560 นี้ โดยบริษัทฯได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 3.50 บาท ต่อ กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 7 ปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ในส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน 150 MW (TG 8) ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EIA โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าได้ในไตรมาส 4/60 นี้ ส่งผลให้ในไตรมาส 4/60 โรงไฟฟ้าของ TPIPP จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมเพิ่มขึ้นเป็น 440 MW จากปัจจุบันอยู่ที่ 150 MW นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมในโครงการไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะโดยภาครัฐ ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรุงเทพฯ ที่อ่อนนุช-หนองแขม รวม 40 MW และโครงการโรงไฟฟ้าขยะ SPP ซึ่งคาดว่าภาครัฐจะเริ่มประกาศเงื่อนไขในการรับซื้อไฟฟ้าประมาณปลายปีนี้ "หลังจากที่เริ่มทยอย COD โรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง 3 โรง จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะมีการปรับขึ้นค่า FT อีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย ในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2560 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมในการดำเนินงานของบริษัทฯ" นายภากร กล่าว ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ออกบทวิเคราะห์คาดการณ์ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) จะประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60ในอัตรา 0.08 - 0.10 บาทต่อหุ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ